เมนู

มหาวรรค วิโมกขกถา


บริบูรณ์นิทาน



ว่าด้วยวิโมกข์ 3


[469] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย วิโมกข์ 3 ประการนี้ 3 ประการ
เป็นไฉน คือสุญญตวิโมกข์ 1 อนิมิตตวิโมกข์ 1 อัปปณิหิตวิโมกข์ 1 ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลาย วิโมกข์ 3 ประการนี้.
อีกประการหนึ่ง วิโมกข์ 68 คือ สุญญตวิโมกข์ 1 อนิมิตตวิโมกข์ 1
อัปปณิหิตวิโมกข์ 1 อัชฌัตตาวุฏฐานวิโมกข์ (วิโมกข์มีการออกในภายใน) 1
พหิทธาวุฏฐานวิโมกข์ (วิโมกข์มีการออกในภายนอก) 1 ทุภโตวุฏฐานวิโมกข์
(วิโมกข์มีการออกแต่ส่วนทั้งสอง) 1 วิโมกข์ 4 แต่อัชฌัตตวุฏฐานวิโมกข์
วิโมกข์ 4 แต่พหิทธาวุฏฐานวิโมกข์ วิโมกข์ 4 แต่ทุภโตวุฏฐานวิโมกข์
วิโมกข์ 4 อนุโลมแก่อัชฌัตตวุฏฐานวิโมกข์ วิโมกข์ 4 อนุโลมแก่พหิทธา-
วุฏฐานวิโมกข์ วิโมกข์ อนุโลมแก่ทุภโตวุฏฐานวิโมกข์ วิโมกข์ 4 ระงับ
จากอัชฌัตตวุฏฐานวิโมกข์ วิโมกข์ 4 ระงับจากพหิทธาวุฏฐานวิโมกข์ วิโมกข์
4 ระงับจากทุภโตวุฏฐานวิโมกข์ ชื่อว่าวิโมกข์ เพราะอรรถว่า ภิกษุผู้มีรูป
เห็นรูปทั้งหลาย เพราะอรรถว่า ภิกษุผู้ไม่มีความสำคัญ ว่ารูปในภายใน เห็นรูป
ทั้งหลายในภายนอก เพราะอรรถว่า ภิกษุน้อมใจไปในธรรมส่วนงามเท่านั้น
อากาสานัญจายตนสมาบัติวิโมกข์ วิญญาณณัญจายตนสมาบัติวิโมกข์ อากิญ-
จัญญายตนสมาบัติวิโมกข์ เนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติวิโมกข์ สัญญา

เวทยิตนิโรธสมาบัติวิโมกข์ สมยวิโมกข์ อสมยวิโมกข์ สามายิกวิโมกข์
อามายิกวิโมกข์ กุปปวิโมกข์ (วิโมกข์ที่กำเริบได้) อกุปปวิโมกข์ (วิโมกข์
ที่ไม่กำเริบ) โลกิยวิโมกข์ โลกุตรวิโมกข์ สาสววิโมกข์ อนาสววิโมกข์
สามิสวิโมกข์ นิรามิสวิโมกข์ นิรามิสตรวิโมกข์ ปณิหิตวิโมกข์ อัปปณิหิต
วิโมกข์ ปณิหิตปัสสัทธิวิโมกข์ สัญญุตวิโมกข์ วิสัญญุตวิโมกข์ เอกัตตวิโมกข์
มานัตตวิโมกข์ สัญญาวิโมกข์ ญาณวิโมกข์ สีติสิยาวิโมกข์ ฌานวิโมกข์
อนุปาทาจิตวิโมกข์.
[470] สุญญตวิโมกข์เป็นไฉน ภิกษุในธรรมวินัยนี้ อยู่ในป่าก็ดี
อยู่ที่โคนไม้ก็ดี อยู่ในเรือนว่างก็ดี พิจารณาเห็นดังนี้ว่า นามรูปนี้ว่างจากความ
เป็นตัวตน และจากสิ่งที่เนื่องด้วยตน เธอย่อมไม่ทำความยึดมั่นในนามรูปนั้น
เพราะเหตุนั้น วิโมกข์ของภิกษุนั้นจึงเป็นวิโมกข์ว่างเปล่า นี้เป็นสุญญตวิโมกข์.
อนิมิตตวิโมกข์เป็นไฉน ภิกษุในธรรมวินัยนี้ อยู่ในป่าก็ดี อยู่ที่
โคนไม้ก็ดี อยู่ในเรือนว่างก็ดี ย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า นามรูปนี้ว่างจาก
ความเป็นรูปนั้น และจากสิ่งที่เนื่องด้วยตน เธอย่อมไม่ทำเครื่องกำหนดหมาย
ในนามรูปนั้น เพราะเหตุนั้น วิโมกข์ของภิกษุนั้น จึงเป็นวิโมกข์ไม่มีเครื่อง
กำหนดหมาย นี้เป็นอนิมิตตวิโมกข์.
อัปปณิหิตวิโมกข์เป็นไฉน ภิกษุในธรรมวินัยนี้ อยู่ในป่าก็ดี อยู่ที่
โคนไม้ก็ดี อยู่ในเรือนว่างก็ดี ย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า นามรูปนี้ว่างจาก
ความเป็นตัวตน และจากสิ่งที่เนื่องด้วยตน เธอย่อมไม่ทำความปรารถนาใน
นามรูปนั้น เพราะเหตุนั้น วิโมกข์ของภิกษุนั้น จึงเป็นวิโมกข์ไม่มีความปรารถนา
นี้เป็นอัปปณิหิตวิโมกข์.
อัชฌัตตวุฏฐานวิโมกข์เป็นไฉน ฌาน 4 เป็นอัชฌัตตวุฏฐานวิโมกข์.

พหิทธาวุฏฐานวิโมกข์เป็นไฉน อรูปสมาบัติ 4 เป็นพหิทธาวุฏฐาน.
วิโมกข์.
ทุภโตวุฏฐานวิโมกข์เป็นไฉน อริยมรรค 4 เป็นทุภโตวุฏฐานวิโมกข์.
[471] วิโมกข์ 4 แต่อัชฌัตตวุฏฐานวิโมกข์เป็นไฉน ปฐมฌาน
ออกจากนิวรณ์ ทุติยฌานออกจากวิตกวิจาร ตติยฌานออกจากปีติ จตุตถฌาน
ออกจากสุขและทุกข์ นี้เป็นวิโมกข์ 4 แต่อัชฌัตตวุฏฐานวิโมกข์.
วิโมกข์ 4 แต่พหิทธาวุฏฐานวิโมกข์เป็นไฉน อากาสานัญจายตน
สมาบัติออกจากรูปสัญญา ปฏิฆสัญญา นานัตตสัญญา. วิญญาณัญจายตนสมาบัติ
ออกจากอากาสานัญจายตนสัญญา อากิญจัญญายตนสมาบัติ ออกจากวิญญา-
ณัญจายตนสัญญา อากิญจัญญายตนสมาบัติ ออกจากวิญญาณัญจายตนสัญญา
เนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติ ออกจากอากิญจัญญายตนสัญญา นี้เป็น
วิโมกข์ 4 แต่พหิทธาวุฏฐานวิโมกข์.
วิโมกข์ 4 แต่ทุภโตวุฏฐานวิโมกข์เป็นไฉน โสดาปัตติมรรคออกจาก
สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส ทิฏฐิอนุสัย วิจิกิจฉานุสัย ออกจาก
เหล่ากิเลสที่เป็นไปตามสักกายทิฏฐิเป็นต้นนั้น จากขันธ์ทั้งหลาย และออกจาก
สรรพนิมิตภายนอก สกทาคามิมรรคออกจากกามราคสังโยชน์ ปฏิฆสังโยชน์
กามราคานุสัย ปฏิฆานุสัย ส่วนหยาบ ๆ ออกจากเหล่ากิเลสที่เป็นไปตาม
กามราคสังโยชน์เป็นต้นนั้น จากขันธ์ทั้งหลาย และออกจากสรรพนิมิตภายนอก
อนาคามิมรรคออกจากกามราคสังโยชน์ ปฏิฆสังโยชน์ กามราคานุสัย ปฏิฆานุสัย
ส่วนละเอียด ๆ ออกจากเหล่ากิเลสที่เป็นไปตามกามราคสังโยชน์เป็นต้นนั้น
จากขันธ์ทั้งหลาย และออกจากสรรพนิมิตภายนอก อรหัตมรรคออกจากรูป-
ราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ อวิชชา มานานุนัย ภวราคานุสัย

อวิชชานุสัย ออกจากเหล่ากิเลสที่เป็นไปตามรูปราคะเป็นต้นนั้น จากขันธ์
ทั้งหลาย และออกจากสรรพนิมิตภายนอก นี้เป็นวิโมกข์ 4 แต่ทุภโตวุฏฐาน
วิโมกข์.
[472] วิโมกข์ อนุโลมแก่อัชฌัตตวุฏฐานวิโมกข์เป็นไฉน วิตก
วิจาร ปีติ สุข และเอกัคคตาจิตเพื่อประโยชน์แก่การได้ปฐมฌาน ทุติยฌาน
ตติยฌาน จตุตถฌาน นี้เป็นวิโมกข์ 4 อนุโลมแก่อัชฌัตตวุฏฐานวิโมกข์.
วิโมกข์ 4 อนุโลมแก่พหิทธาวุฏฐานวิโมกข์เป็นไฉน วิตก วิจาร ปีติ
สุข และเอกัคคตาจิต เพื่อประโยชน์แก่การได้อากาสานัญจายตนสมาบัติ
วิญญาณัญจายตนสมาบัติ อากิญจัญญายตนสมาบัติ เนวสัญญานาสัญญายตน-
สมาบัติ นี้เป็นวิโมกข์ อนุโลมแก่พหิทธาวุฏฐานวิโมกข์.
วิโมกข์ 4 อนุโลมแก่ทุภโตวุฏฐานวิโมกข์เป็นไฉน อนิจจานุปัสสนา
ทุกขานุปัสสนา อนัตตานุปัสสนา เพื่อประโยชน์แก่การได้โสดาปัตติมรรค.
สกทาคามิมรรค อนาคามิมรรค อรหัตมรรค นี้เป็นวิโมกข์ 4 อนุโลมแก่
ทุภโตวุฏฐานวิโมกข์.
[473] วิโมกข์ ระงับจากอัชฌัตตวุฏฐานวิโมกข์เป็นไฉน การ
ได้หรือวิบากแห่งปฐมฌาน แห่งทุติยฌาน แห่งตติยฌาน แห่งจตุตถฌาน
มีอยู่ นี้เป็นวิโมกข์ 4 ระงับจากอัชฌัตตวุฏฐานวิโมกข์.
วิโมกข์ 4 ระงับจากพหิทธาวุฏฐานวิโมกข์เป็นไฉน ? การได้หรือ
วิบากแห่งอากาสานัญจายตนสมาบัติ แห่งวิญญาณัญจายตนสมาบัติ แห่ง
อากิญจัญญายตนสมาบัติ แห่งเนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติ มีอยู่ นี้เป็น
วิโมกข์ ระงับจากพหิทธาวุฏฐานวิโมกข์.

วิโมกข์ 4 ระงับจากทุภโตวุฏฐานวิโมกข์เป็นไฉน ? โสดาปัตติผล
แห่งโสดาปัตติมรรค สกทาคามิผลแห่งสกทาคามิมรรค อนาคามิผลแห่ง
อนาคามิมรรค อรหัตผลแห่งอรหัตมรรค นี้เป็นวิโมกข์ 4 ระงับจาก
ทุภโตวุฏฐานวิโมกข์.
[474] ชื่อว่าวิโมกข์ เพราะอรรถว่า ภิกษุผู้มีรูปย่อมเห็นรูปทั้งหลาย
อย่างไร?
ภิกษุบางรูปในธรรมวินัยนี้ มนสิการถึงเฉพาะนิมิตสีเขียวในภายใน
ย่อมได้เฉพาะนีลสัญญา เธอทำนิมิตนั้น ให้เป็นอันถือไว้ดีแล้ว ทรงจำไว้ดีแล้ว
กำหนดไว้ดีแล้ว ครั้นแล้วย่อมน้อมจิตไปในนิมิตสีเขียวภายนอก ย่อมได้
เฉพาะนีลสัญญา เธอทำนิมิตนั้นให้เป็นอันถือไว้ดีแล้ว ทรงจำไว้ดีแล้ว
กำหนดไว้ดีแล้ว ครั้นแล้วย่อมเสพ เจริญ ทำให้มาก เธอมีความคิคอย่างนี้ว่า
นิมิตสีเขียวทั้งสองทั้งภายในและภายนอกนี้เป็นในรูป เธอเป็นผู้มีความสำคัญว่า
เป็นรูป ภิกษุบางรูปในธรรมวินัยนี้ มนสิการถึงเฉพาะนิมิตสีเหลือง ฯลฯ
นิมิตสีแดง. ..นิมิตสีขาวในภายใน ย่อมได้เฉพาะโอทาตสัญญา เธอทำนิมิต
นั้น ให้เป็นอันถือไว้ดีแล้ว ทรงจำไว้ดีแล้ว กำหนดไว้ดีแล้ว ครั้นแล้วย่อม
น้อมจิตไปในนิมิตสีขาวในภายนอก ย่อมได้เฉพาะโอทาตสัญญา เธอทำนิมิต
นั้นให้เป็นอันถือไว้ดีแล้ว ทรงจำไว้ดีแล้ว กำหนดไว้ดีแล้ว ครั้นแล้วย่อม
เสพ เจริญ ทำให้มาก เธอมีความคิดอย่างนี้ว่า นิมิตสีขาวทั้งสองทั้งภายใน
และภายนอกนี้ เป็นรูป เธอย่อมมีความสำคัญว่าเป็นรูป ชื่อว่าวิโมกข์ เพราะ
อรรถว่า ภิกษุผู้มีรูปย่อมเห็นรูปทั้งหลายอย่างนี้.
[475] ชื่อว่าวิโมกข์ เพราะอรรถว่า ภิกษุผู้ไม่มีความสำคัญว่าเป็น
รูปในภายใน เห็นรูปทั้งหลายในภายนอก อย่างไร ?

ภิกษุบางรูปในธรรมวินัยนี้ ไม่มนสิการถึงเฉพาะนิมิตสีเขียวในภายใน
ไม่ได้นีลสัญญา ย่อมน้อมจิตไปในนิมิตสีเขียวภายนอก ย่อมได้นีลสัญญา เธอ
ทำนิมิตนั้นให้เป็นอันถือไว้ดีแล้ว ทรงจำไว้ดีแล้ว กำหนดไว้ดีแล้ว ครั้นแล้ว
เธอย่อมเสพ เจริญทำให้มาก เธอมีความคิดอย่างนี้ว่า เราไม่มีความสำคัญว่า
เป็นรูปในภายใน นิมิตสีเขียวภายนอกนี้เป็นรูป เธอก็มีรูปสัญญา ภิกษุบาง
รูปในธรรมวินัยนี้ ไม่มนสิการถึงเฉพาะนิมิตสีเหลือง... นิมิตสีแดง...
นิมิตสีขาวในภายใน ไม่ได้โอทาตสัญญา ย่อมน้อมจิตไปในนิมิตสีขาวภาย
นอกย่อมได้โอทาตสัญญา เธอทำนิมิตนั้นให้เป็นอันไว้ดีแล้ว ทรงจำไว้ดีแล้ว
กำหนดไว้ดีแล้ว ครั้นแล้วเธอย่อมเสพ เจริญทำให้มาก เธอมีความคิดอย่าง
นี้ว่า เราไม่มีความสำคัญว่าเป็นรูปในภายนอกนี้เป็นรูป เธอก็มีรูปสัญญา ชื่อ
ว่าวิโมกข์ เพราะอรรถว่า ภิกษุผู้ไม่มีความสำคัญว่าเป็นรูปในภายในเห็นรูป
ทั้งหลายในภายนอก อย่างนี้.
[476] ชื่อว่าวิโมกข์ เพราะอรรถว่า ภิกษุน้อมใจไปในธรรมส่วน
งามเท่านั้น อย่างไร ?
ภิกษุในธรรมวินัยนี้ มีใจประกอบด้วยเมตตาแผ่ไปตลอดทิศหนึ่งอยู่
ทิศที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 ก็เหมือนกัน ตามนัยนี้ทั้งเบื้องบน เบื้องล่าง เบื้องขวางแผ่
ไปตลอดโลก ทั่วสัตว์ทุกเหล่า ในที่ทุกสถาน ด้วยใจประกอบด้วยเมตตาอัน
ไพบูลย์ ถึงความเป็นใหญ่ หาประมาณมิได้ ไม่มีเวร ไม่มีความเบียดเบียน
อยู่เพราะเป็นผู้เจริญเมตตา สัตว์ทั้งหลายไม่เป็นที่เกลียดชัง มีใจประกอบด้วย
กรุณา ฯลฯ เพราะเป็นผู้เจริญมุทิตา สัตว์ทั้งหลายไม่เป็นที่เกลียดชัง มีใจ
ประกอบด้วยอุเบกขา แผ่ไปตลอดทิศหนึ่งอยู่ ฯลฯ เพราะเป็นผู้เจริญอุเบกขา
สัตว์ทั้งหลายไม่เป็นที่เกลียดชัง ชื่อว่าวิโมกข์ เพราะอรรถว่า ภิกษุน้อมใจ
ไปในธรรมส่วนงามเท่านั้น อย่างนี้.

[477] อากาสานัญจายตนสมาบัติวิโมกข์เป็นไฉน ? ภิกษุในธรรม
วินัยนี้เพราะล่วงรูปสัญญา เพราะดับปฏิฆสัญญา เพราะไม่มนสิการถึงนานัตต-
สัญญา โดยประการทั้งปวง เข้าอากาสานัญจายตนสมาบัติ ด้วยมนสิการว่า
อากาศหาที่สุดมิได้ นี้เป็นอากาสานัญจายตนสมาบัติวิโมกข์.
วิญญาณัญจายตนสมาบัติวิโมกข์เป็นไฉน ? ภิกษุในธรรมวินัยนี้
เพราะล่วงอากาสานัญจายตนสมาบัติโดยประการทั้งปวง เข้าวิญญาณัญจายตน-
สมาบัติโดยประการทั้งปวง เข้าวิญญาณัญจายตนสมาบัติ ด้วยมนสิการว่า
วิญญาณหาที่สุดมิได้ นี้เป็นวิญญาณัญจายตนสมาบัติวิโมกข์.
อากิญจัญญายตนสมาบัติวิโมกข์เป็นไฉน ? ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เพราะ
ล่วงวิญญาณัญจายตนสมาบัติโดยประการทั้งปวง เข้าอากิญจัญญายตนสมาบัติ
โดยประการทั้งปวง เข้าอากิญจัญญายตนสมาบัติ ด้วยมนสิการว่า สิ่งน้อยหนึ่ง
ไม่มี นี้เป็นอากิญจัญญายตนสมาบัติวิโมกข์.
เนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติวิโมกข์เป็นไฉน ? ภิกษุในธรรมวินัย
นี้ เพราะล่วงอากิญจัญญายตนสมาบัติโดยประการทั้งปวง เข้าเนวสัญญานา-
สัญญายตนสมาบัติ นี้เป็นเนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติวิโมกข์.
สัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติวิโมกข์เป็นไฉน ? ภิกษุในธรรมวินัยนี้
เพราะล่วงเนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติโดยประการทั้งปวง เข้าสัญญาเวทยิต-
นิโรธ นี้เป็นสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติวิโมกข์.
[478] สมยวิโมกข์เป็นไฉน ? ฌาน 4 และอรูปสมาบัติ 4 นี้เป็น
สมยวิโมกข์.
อสมยวิโมกข์เป็นไฉน ? อริยมรรค 4 สามัญญผล 4 และนิพพาน
นี้เป็นอสมยวิโมกข์.

สามยิกวิโมกข์เป็นไฉน ? ฌาน 4 และอรูปสมาบัติ 4 นี้เป็นสาม-
ยิกวิโมกข์.
อสามยิกวิโมกข์เป็นไฉน ? อริยมรรค 4 สามัญญผล 4 และนิพ-
พาน นี้เป็นอสามยิกวิโมกข์.
กุปปวิโมกข์เป็นไฉน ? ฌาน 4 และอรูปสมาบัติ 4 นี้เป็นกุปป-
วิโมกข์.
อกุปปวิโมกข์เป็นไฉน ? อริยมรรค 4 สามัญญผล 4 และนิพพาน
นี้เป็นอกุปปวิโมกข์.
โลกิยวิโมกข์เป็นไฉน ? ฌาน 4 และอรูปสมาบัติ 4 นี้เป็นโลกิย-
วิโมกข์.
โลกุตรวิโมกข์เป็นไฉน ? อริยมรรค 4 สามัญญผล 4 และ
นิพพาน นี้เป็นโลกุตรวิโมกข์.
สาสววิโมกข์เป็นไฉน ? ฌาน 4 และอรูปสมาบัติ 4 นี้เป็นสาสว-
วิโมกข์.
อนาสววิโมกข์เป็นไฉน ? อริยมรรค 4 สามัญญผล 4 และนิพพาน
นี้เป็นอนาสววิโมกข์.
[479] สามิสวิโมกข์เป็นไฉน วิโมกข์ที่ปฏิสังยุตด้วยรูป นี้เป็น
สามิสวิโมกข์.
นิรามิสวิโมกข์เป็นไฉน ? วิโมกข์ที่ไม่ปฏิสังยุตด้วยรูป นี้เป็นนิรานิส-
วิโมกข์.
นิรามิสตรวิโมกข์เป็นไฉน ? อริยมรรค 4 สามัญญผล 4 และ
นิพพาน นี้เป็นนิรามิสตรวิโมกข์.

ปณิหิตวิโมกข์เป็นไฉน ? ฌาน 4 อรูปสมาบัติ 4 นี้เป็นปณิหิต-
วิโมกข์.
อัปปณิหิตวิโมกข์เป็นไฉน ? อริยมรรค 4 สามัญญผล 4 และ
นิพพาน นี้เป็นอัปปณิหิตวิโมกข์.
ปณิหิตปฏิปัสสัทธิวิโมกข์เป็นไฉน ? การได้หรือวิบากแห่งปฐมฌาน
ฯลฯ แห่งเนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติ นี้เป็นปณิหิตปฏิปัสสัทธิวิโมกข์.
สัญญุตวิโมกข์เป็นไฉน ? ฌาน 4 และอรูปสมาบัติ 4 นี้เป็นสัญญุต-
วิโมกข์.
วิสัญญุตวิโมกข์เป็นไฉน ? อริยมรรค 4 สามัญญผล 4 และ
นิพพาน นี้เป็นวิสัญญุตวิโมกข์.
เอกัตตวิโมกข์เป็นไฉน ? อริยมรรค 4 สามัญญผล 4 และนิพพาน
นี้เป็นเอกัตตวิโมกข์
นานัตตวิโมกข์เป็นไฉน ? ฌาน 4 และอรูปสมาบัติ 4 นี้เป็น
นานัตตวิโมกข์.
[480] สัญญาวิโมกข์เป็นไฉน ? สัญญาวิโมกข์ 1 เป็นสัญญา
วิโมกข์ 10 สัญญาวิโมกข์ 10 เป็นสัญญาวิโมกข์ 1 ด้วยสามารถแห่งวัตถุ
โดยปริยายพึงมีได้.
คำว่า พึงมีได้ ความว่า ก็พึงมีได้อย่างไร ?
อนิจจานุปัสสนาญาณพ้นจากนิจจสัญญา เพราะเหตุนั้น จึงเป็นสัญญา-
วิโมกข์ ทุกขานุปัสสนาญาณพ้นจากสุขสัญญา... อนัตตานุปัสสนาญาณพ้นจาก .
อัตตสัญญา... นิพพิทานุปัสสนาญาณพ้นจากนันทิสัญญา (ความสำคัญโดย
ความเพลิดเพลิน)... วิราคานุปัสสนาญาณพ้นจากราคสัญญา... นิโรธานุ-

ปัสสนาญาณพ้นจากสมุทยสัญญา...ปฏินิสสัคคานุปัสสนาญาณ พ้นจากอาทาน-
สัญญา (ความสำคัญโดยความถือมั่น)... อนิมิตตานุปัสสนาญาณพ้นจากนิมิตต-
สัญญา... อัปปณิหิตานุปัสสนาญานพ้นจากปณิธิสัญญา... สุญญตานุปัสสนา-
ญานพ้นจากอภินิเวสสัญญา (ความสำคัญโดยความยึดมั่น)... เพราะเหตุนั้น
จึงเป็นสัญญาวิโมกข์ สัญญาวิโมกข์ 1 เป็นสัญญาวิโมกข์ 10 สัญญาวิโมกข์
10 เป็นสัญญาวิโมกข์ 1 ด้วยสามารถแห่งวัตถุ โดยปริยาย พึงมีได้อย่างนี้.
ญาณ คือ การพิจารณาเห็นความไม่เที่ยงในรูป พ้นจากนิจจสัญญา
เพราะเหตุนั้นจึงเป็นสัญญาวิโมกข์ ฯลฯ ญาณ คือ การพิจารณาเห็นความว่าง
เปล่าในรูปพ้นจากอภินิเวสสัญญา เพราะเหตุนั้นจึงเป็นสัญญาวิโมกข์ สัญญา-
วิโมกข์ 1 เป็นสัญญาวิโมกข์ 10 สัญญาวิโมกข์ 10 เป็นสัญญาวิโมกข์ 1
ด้วยสามารถแห่งวัตถุ โดยปริยาย พึงมีได้อย่างนี้.
ญาณ คือ การพิจารณาเห็นความไม่เที่ยงในเวทนา ฯลฯ ในสัญญา
ฯลฯ ในสังขาร ฯลฯ ในวิญญาณ ฯลฯ ในจักษุ ฯลฯ ในชราและมรณะพ้น
จากนิจจสัญญา เพราะเหตุนั้นจึงเป็นสัญญาวิโมกข์ ฯลฯ ญาณ คือ การ
พิจารณาเห็นความว่างเปล่า ในชราและมรณะ พ้นจากอภินิเวสสัญญา เพราะ
เหตุนั้นจึงเป็นสัญญาวิโมกข์ สัญญาวิโมกข์ 1 เป็นสัญญาวิโมกข์ 10 สัญญา-
วิโมกข์ 10 เป็นสัญญาวิโมกข์ 1 ด้วยสามารถแห่งวัตถุ โดยปริยาย พึงมีได้
อย่างนี้ นี้เป็นสัญญาวิโมกข์.
[481] ญาณวิโมกข์เป็นไฉน ? ญาณวิโมกข์ 1 เป็นญาณวิโมกข์
10 ญาณวิโมกข์ 10 เป็นญาณวิโมกข์ 1 ด้วยสามารถแห่งวัตถุ โดยปริยาย
พึงมีได้.

คำว่า พึงมีได้ ความว่า ก็พึงมีได้อย่างไร ? อนิจจานุปัสสนายถาภูต-
ญาณพ้นจากความหลงโดยความเป็นสภาพเที่ยง จากความไม่รู้ เพราะเหตุนั้น
จึงเป็นญาณวิโมกข์ ทุกขานุปัสสนายถาภูตญาณ พ้นจากความหลงโดยความเป็น
สุข จากความไม่รู้... อนัตตานุปัสสนายถาภูตญาณ พ้นจากความหลงโดย
ความเป็นตัวตนจากความไม่รู้... นิพพิทานุปัสสนายถาภูตญาณ พ้นจากความ
หลงโดยความเพลิดเพลิน จากความไม่รู้... วิราคานุปัสสนายถาภูตญาณ พ้น
จากความหลงโดยความกำหนัด จากความไม่รู้... นิโรธานุปัสสนายถาภูตญาณ
พ้นจากความหลงโดยเป็นเหตุให้เกิด จากความไม่รู้... ปฏินิสสัคคานุปัสสนาย-
ถาภูตญาณ พ้นจากความหลงโดยความถือมั่น จากความไม่รู้... อนิมิตตานุ-
ปัสสนายถาภูตญาณพ้นจากความหลงโดยความเป็นนิมิต จากความไม่รู้...
อัปปณิหิตานุปัสสนายถาภูตญาณ พ้นจากความหลงโดยความเป็นที่ตั้ง จาก
ความไม่รู้... สุญญตานุปัสสนายถาภูตญาณ พ้นจากความหลงโดยความยึดมั่น
จากความไม่รู้ เพราะเหตุนั้นจึงเป็นญาณวิโมกข์ ญาณวิโมกข์ 1 เป็นญาณ
วิโมกข์ 10 ญาณวิโมกข์ 10 เป็นญาณวิโมกข์ 1 ด้วยสามารถแห่งวัตถุ
โดยปริยาย พึงมีได้อย่างนี้.
ยถาภูตญาณ คือ การพิจารณาเห็นความไม่เที่ยงในรูป พ้นจากความ
หลงโดยความเป็นสภาพเที่ยง จากความไม่รู้ เพราะเหตุนั้น จึงเป็นญาณวิโมกข์
ฯลฯ ยถาภูตญาณ คือ การพิจารณาเห็นความว่างเปล่าในรูป พ้นจากความหลง
โดยความยึดมั่น จากความรู้ เพราะเหตุนั้นจึงเป็นญาณวิโมกข์ ญาณวิโมกข์
1 เป็นญาณวิโมกข์ 10 ญาณวิโมกข์ 10 เป็นญาณวิโมกข์ 1 ด้วยสามารถ
แห่งวัตถุ โดยปริยาย พึงมีได้อย่างนี้.

ยถาภูตญาณ คือ การพิจารณาเห็นความไม่เที่ยงในเวทนา ฯลฯ ในสัญญา
ในสังขาร ในวิญญาณ ในจักษุ ฯลฯ ในชราและมรณะ พ้นจากความหลงโดย
ความเป็นสภาพเที่ยง จากความไม่รู้ เพราะเหตุนั้นจึงเป็นญาณวิโมกข์ ฯลฯ
ยถาภูตญาณ คือ การพิจารณาเห็นความว่างเปล่าในชราและมรณะ พ้นจาก
ความยึดมั่น จากความไม่รู้ เพราะเหตุนั้นจึงเป็นญาณวิโมกข์ ญาณวิโมกข์ 1
เป็นญาณวิโมกข์ 10 ญาณวิโมกข์ 10 เป็นญาณวิโมกข์ 1 ด้วยสามารถแห่ง
วัตถุ โดยปริยาย พึงมีได้อย่างนี้ นี้เป็นญาณวิโมกข์.
[482] สีติสิยาวิโมกข์เป็นไฉน ? สีติสิยาวิโมกข์ 1 เป็นสีติสิยา
วิโมกข์ 10 สีติสิยาวิโมกข์ 10 เป็นสีติสิยาวิโมกข์ 1 ด้วยสามารถแห่งวัตถุ
โดยปริยาย พึงมีได้.
คำว่า พึงมีได้ ความว่า ก็พึงได้อย่างไร ?
อนิจจานุปัสสนา เป็นญาณอันมีความเย็นใจอย่างเยี่ยม พ้นจากความ
เดือดร้อน ความเร่าร้อนและความกระวนกระวายโดยความเป็นสภาพเที่ยง
เพราะเหตุนั้นจึงเป็นสีติสิยาวิโมกข์ ทุกขานุปัสสนา... โดยความเป็นสุข...
อนัตตานุปัสสนา... โดยความเป็นตน... นิพพิทานุปัสสนา... โดยความ
เพลิดเพลิน... วิราคานุปัสสนา... โดยความกำหนัด... นิโรธานุปัสสนา...
โดยความเป็นเหตุเกิด... ปฏินิสสัคคานุปัสสนา... โดยความถือมั่น... อนิมิตตา-
นุปัสสนา... โดยมีนิมิตเครื่องหมาย... อัปปณิหิตานุปัสสนา... โดยเป็นที่ตั้ง
... สุญญตานุปัสสนา เป็นญาณอันมีความเย็นใจอย่างเยี่ยม พ้นจากความ
เดือดร้อน ความเร่าร้อน และความกระวนกระวายโดยความยึดมั่น เพราะ
เหตุนั้นจึงเป็น สิติสิยาวิโมกข์ สีติสิยาวิโมกข์ 1 เป็นสีติยาวิโมกข์ 10 สีติสิยา-

วิโมกข์ 10 เป็นสีติสิยาวิโมกข์ 1 ด้วยสามารถแห่งวัตถุ โดยปริยาย พึงมีได้
อย่างนี้.
การพิจารณาเห็นความไม่เที่ยงในรูป เป็นญาณอันมีความเย็นอย่าง
เยี่ยมพ้นจากความเดือดร้อน ความเร่าร้อนและความกระวนกระวายโดยความ
เป็นสภาพเที่ยง เพราะเหตุนั้นจึงเป็นสีติสิยาวิโมกข์ ฯลฯ ด้วยสามารถแห่ง
วัตถุ โดยปริยายพึงมีได้อย่างนี้.
การพิจารณาเห็นความไม่เที่ยงในเวทนา ฯลฯ ในสัญญา ในสังขาร
ในวิญญาณ ในจักษุ ฯลฯ ในชราและมรณะ เป็นญาณอันมีความเย็นอย่าง
เยี่ยม พ้นจากความเดือดร้อน ความเร่าร้อนและความกระวนกระวายโดยความ
เป็นสภาพไม่เที่ยง เพราะเหตุนั้นจึงเป็นสีติสิยาวิโมกข์ ฯลฯ สีติสิยาวิโมกข์ 1
เป็นสีติสิยาวิโมกข์ 10 สีติสิยาวิโมกข์ 10 เป็นสีติสิยาวิโมกข์ 1 ด้วยสามารถ
แห่งวัตถุ โดยปริยาย พึงมีได้อย่างนี้ นี้เป็นสีติสิยาวิโมกข์.
[483] ฌานวิโมกข์เป็นไฉน ? เนกขัมมะเกิด เผากามฉันทะ
เพราะเหตุนั้นจึงเป็นฌาน เนกขัมมะเกิดพ้นไป เผาพ้นไป เพราะเหตุนั้นจึง
เป็นฌานวิโมกข์ ธรรมเกิด ย่อมเผา ฌายีบุคคลย่อมรู้กิเลสที่เกิดและถูกเผา
เพราะเหตุนั้นจึงเป็นฌานวิโมกข์ ความไม่พยาบาทเกิด เผาความพยาบาท
เพราะเหตุนั้นจึงเป็นฌาน ความไม่พยาบาทเกิดพ้นไป เผาพ้นไป... อาโลก-
สัญญาเกิด เผาถีนมิทธะ เพราะเหตุนั้นจึงเป็นฌาน ความไม่ฟุ้งซ่านเกิด
เผาอุทธัจจะ... การกำหนดธรรมเกิด เผาวิจิกิจฉา... ญาณเกิด เผาอวิชชา
... ความปราโมทย์เกิด เผาอรติ... ปฐมฌานเกิด เผานิวรณ์ เพราะเหตุนั้น
จึงเป็นฌาน ฯลฯ อรหัตมรรคเกิด เผากิเลสทั้งปวง เพราะเหตุนั้นจึงเป็น
ฌาน เกิดพ้นไป เผาพ้นไป เพราะเหตุนั้นจึงเป็นฌานวิโมกข์ ธรรมเกิด

ย่อมเผา ฌายีบุคคลย่อมรู้กิเลสที่เกิดและที่ถูกเผา เพราะเหตุนั้นจึงเป็นฌาน-
วิโมกข์ นี้เป็นฌานวิโมกข์.
[484] อนุปาทาจิตวิโมกข์เป็นไฉน ? อนุปาทาจิตวิโมกข์ 1
เป็นอนุปาทาจิตวิโมกข์ 10 อนุปาทาจิตวิโมกข์ 10 เป็นอนุปาทาจิตวิโมกข์ 1
ด้วยสามารถแห่งวัตถุ โดยปริยาย พึงมีได้.
คำว่า พึงมีได้ ความว่า ก็พึงมีได้อย่างไร ?
อนิจจานุปัสสนาญาน ย่อมพ้นจากดวามถือมั่นโดยความเป็นสภาพเที่ยง
เพราะเหตุนั้นจึงเป็นอนุปาทาจิตวิโมกข์ ทุกขานุปัสสนาญาณ พ้นจากความ
ถือมั่นโดยความเป็นสุข... อนัตตานุปัสสนาญาณ พ้นจากดวามถือมั่นโดยความ
เป็นตัวตน... นิพพิทานุปัสสนาญาณ พ้นจากดวามถือมั่นโดยความเพลิดเพลิน
... วิราคานุปัสสนาญาณ พ้นจากความถือมั่นโดยความกำหนัด... นิโรธา-
นุปัสสนาญาณ พ้นจากความถือมั่นโดยความเป็นเหตุเกิด... ปฏินิสสัคคา-
นุปัสสนาญาณ พ้นจากความถือมั่นโดยความถือผิด... อนิมิตตานุปัสสนาญาณ
พ้นจากความถือมั่นโดยนิมิต... อัปปณิหิตานุปัสสนาญาณ พ้นจากความถือมั่น
โดยเป็นที่ตั้ง... สุญญตานุปัสสนาญาณ พ้นจากความถือมั่น โดยความยึดมั่น
เพราะเหตุนั้นจึงเป็นอนุปาทาจิตวิโมกข์ อนุปาทาจิตวิโมกข์ 1 เป็นอนุปาทา-
จิตวิโมกข์ 10 อนุปาทาจิตวิโมกข์ 10 เป็นอนุปาทาจิตวิโมกข์ 1 ด้วย
สามารถแห่งวัตถุ โดยปริยาย พึงมีได้อย่างนี้.
ญาณ คือ การพิจารณาเห็นความไม่เที่ยงในรูป พ้นจากความถือมั่น
โดยความเป็นสภาพเที่ยง เพราะเหตุนั้นจึงเป็นอนุปาทาจิตวิโมกข์ ฯลฯ ญาณ
คือ การพิจารณาเห็นความว่างเปล่าในรูป พ้นจากความถือมั่นโดยความยึดมั่น
เพราะเหตุนั้นจึงเป็นอนุปาทาจิตวิโมกข์ อนุปาทาจิตวิโมกข์ 1 เป็นอนุปาทา-

จิตวิโมกข์ 10 อนุปาทาจิตวิโมกข์ 10 เป็นอนุปาทาจิตวิโมกข์ 1 ด้วย
สามารถแห่งวัตถุ โดยปริยาย พึงมีได้อย่างนี้.
ญาณ คือ การพิจารณาเห็นความไม่เที่ยงในเวทนา ฯลฯ ในสัญญา
ในสังขาร ในวิญญาณ ในจักษุ ฯลฯ ในชราและมรณะพ้นจากความถือมั่น
โดยความเป็นสภาพเที่ยง เพราะเหตุนั้นจึงเป็นอนุปาทาจิตวิโมกข์ ญาณ คือ
การพิจารณาเห็นความว่างเปล่า ในชราและมรณะ พ้นจากความถือมั่นโดย
ความยึดมั่น เพราะเหตุนั้น จึงเป็นอนุปาทาจิตวิโมกข์ 10 อนุปาทาจิตวิโมกข์ 1
เป็นอนุปาทาจิตวิโมกข์ 10 อนุปาทาจิตวิโมกข์ 10 เป็นอนุปาทาจิตวิโมกข์ 1
ด้วยสามารถแห่งวัตถุ โดยปริยาย พึงมีได้อย่างนี้.
[485] อนิจจานุปัสสนาญาณ ย่อมพ้นจากอุปาทานเท่าไร ? ทุกขา-
นุปัสสนาญาณ อนัตตานุปัสสนาญาณ นิพพิทานุปัสสนาญาณ วิราคานุปัสสนา-
ญาณ นิโรธานุปัสสนาญาณ ปฏินิสสัคคานุปัสสนาญาณ อนิมิตตานุปัสสนาญาณ
อัปปณิหิตานุปัสสนาญาณ สุญญตานุปัสสนาญาณ ย่อมพ้นจากอุปาทานเท่าไร ?
อนิจจานุปัสสนาญาณ ย่อมพ้นจากอุปาทาน 3 ทุกขานุปัสลนาญาณ
ย่อมพ้นจากอุปาทาน 1 อนัตตานุปัสสนาญาณ ย่อมพ้นจากอุปาทาน 3 นิพพิทา
นุปัสสนาญาณ ย่อมพ้นจากอุปาทาน 1 วิราคานุปัสสนาญาณ ย่อมพ้นจาก
อุปาทาน 1 นิโรธานุปัสสนาญาณ ย่อมพ้นจากอุปาทาน 4 ปฏินิสสัคคานุปัสสนา-
ญาณ ย่อมพ้นจากอุปาทาน 4 อนิมิตตานุปัสสนาญาณ ย่อมพ้นจากอุปาทาน 3
อัปปณิหิตานุปัสสนาญาณ ย่อมพ้นจากอุปาทาน 1 สุญญตานุปัสสนาญาณ ย่อม
พ้นจากอุปาทาน 3.
[486] อนิจจานุปัสสนาญาณ ย่อมพ้นจากอุปาทาน 3 เป็นไฉน ?
อนิจจานุปัสสนาญาณ ย่อมพ้นจากอุปาทาน 3 คือ ทิฏฐุปาทาน สีลัพพตุปาทาน
อัตตวาทุปาทาน อนิจจานุปัสสนาญาณ ย่อมพ้นจากอุปาทาน 3 เหล่านี้.

ทุกขานุปัสสนาญาณ ย่อมพ้นจากอุปาทาน 1 เป็นไฉน ? ทุกขา-
นุปัสสนาญาณ ย่อมพ้นจากอุปาทาน 1 คือ กามุปาทาน ทุกขานุปัสสนาญาณ
ย่อมพ้นจากอุปาทาน 1 นี้.
อนัตตานุปัสสนาญาณย่อมพ้นจากอุปาทาน 3 เป็นไฉน ? อนัตตา-
นุปัสสนาญาณ ย่อมพ้นจากอุปาทาน 3 คือ ทิฏฐุปาทาน สีลัพพตุปาทาน
อัตตวาทุปาทาน อนัตตานุปัสสนาญาณย่อมพ้นจากอุปาทาน 3 เหล่านี้.
นิพพิทานุปัสสนาญาณ ย่อมพ้นจากอุปาทาน 1 เป็นไฉน ? นิพพิทา-
นุปัสสนาญาณ ย่อมพ้นจากอุปาทาน 1 คือ กามุปาทาน นิพพิทานุปัสสนาญาณ
ย่อมพ้นจากอุปาทาน 1 นี้.
วิราคานุปัสสนาญาณ ย่อมพ้นจากอุปาทาน 1 เป็นไฉน ? วิราคา-
นุปัสสนาญาณ ย่อมพ้นจากอุปาทาน 1 คือ กามุปาทาน วิราคานุปัสสนาญาน
ย่อมพ้นจากอุปาทาน 1 นี้.
นิโรธานุปัสสนาญาณ ย่อมพ้นจากอุปาทาน 4 เป็นไฉน ? นิโรธา-
นุปัสสนาญาณ ย่อมพ้นจากอุปาทาน คือ กามุปาทาน ทิฏฐุปาทาน
สีลัพพตุปาทาน อัตตวาทุปาทาน นิโรธานุปัสสนาญาณ ย่อมพ้นจากอุปาทาน
4 เหล่านี้.
ปฏินิสสัคคานุปัสสนาญาณ ย่อมพ้นจากอุปาทาน 4 เป็นไฉน ?
ปฏินิสสัคคานุปัสสนาญาณ ย่อมพ้นจากอุปาทาน 4 คือกามุปาทาน ทิฏฐุปาทาน
สีลัพพตุปาทาน อัตตวาทุปาทาน ปฏินิสสัคคานุปัสสนาญาณ ย่อมพ้นจาก
อุปาทาน 4 เหล่านี้.
อนิมิตตานุปัสสนาญาณ ย่อมพ้นจากอุปาทาน 3 เป็นไฉน ? อนิมิตตา-
นุปัสสนาญาณ ย่อมพ้นจากอุปาทาน 3 คือ ทิฏฐุปาทาน สีลัพพตุปาทาน
อัตตวาทุปาทาน อนิมิตตานุปัสสนาญาณ ย่อมพ้นจากอุปาทาน 3 เหล่านี้.

อัปปณิหิตานุปัสสนาญาณ ย่อมพ้นจากอุปาทาน 1 เป็นไฉน ?
อัปปณิหิตานุปัสสนาญาณ ย่อมพ้นจากอุปาทาน 1 คือ กามุปาทาน อัปปณิหิตา-
นุปัสสนาญาณ ย่อมพ้นจากอุปาทาน 1 นี้.
สุญญตานุปัสสนาญาณ ย่อมพ้นจากอุปาทาน 3 เป็นไฉน ? สุญญตา-
นุปัสสนาญาณ ย่อมพ้นจากอุปาทาน 3 คือ ทิฏฐุปาทาน สีลัพพตุปาทาน
อัตตวาทุปาท สุญญตานุปัสสนาญาณ ย่อมพ้นจากอุปาทาน 3 เหล่านี้.
ญาณ 4 เหล่านี้ คือ อนิจจานุปัสสนาญาณ 1 อนัตตานุปัสสนาญาณ 1
อนิมิตตานุปัสสนาญาณ 1 สุญญตานุปัสสนาญาณ 1 ย่อมพ้นจากอุปาทาน 3 คือ
ทิฏฐิปาทาน 1 สีลัพพตุปาทาน 1 อัตตวาทุปาทาน 1 ญาณ 4 เหล่านี้ คือ
ทุกขานุปัสสนาญาณ 1 นิพพิทานุปัสสนาญาณ 1 วิราคานุปัสสนาญาณ 1 อัปป-
ณิหิตานุปัสสนาญาณ 1 ย่อมพ้นจากอุปาทาน 1 คือ กามุปาทาน ญาณ 2
เหล่านี้ คือ นิโรธานุปัสสนาญาณ 1 ปฏินิสสัคคานุปัสสนาญาณ 1 ย่อมพ้นจาก
อุปาทานทั้ง 4 คือ กามุปาทาน 1 ทิฏฐุปาทาน 1 สีลัพพตุปาทาน 1
อัตตวาทุปาทาน 1 นี้เป็นอนุปาทาจิตวิโมกข์.
จบวิโมกขกถา ปฐมภาณวาร

[487] ก็วิโมกข์อันเป็นประธาน 3 นี้แล ย่อมเป็นไปเพื่อความ
นำออกไปจากโลก ด้วยความที่จิตแล่นไปในอนิมิตตธาตุ โดยความพิจารณา
เห็นสรรพสังขาร โดยความหมุนเวียนไปตามกำหนด ด้วยความที่จิตแล่นไปใน
อัปปณิหิตธาตุ โดยความองอาจแห่งใจในสรรพสังขาร และด้วยความที่จิต
แล่นไปในสุญญตาธาตุ โดยความพิจารณาเห็นธรรมทั้งปวงโดยแปรเป็นอย่างอื่น
วิโมกข์อันเป็นประธาน 3 นี้ ย่อมเป็นไปเพื่อความนำออกไปจากโลก.

[488] เมื่อมนสิการโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็น
อนัตตา สังขารย่อมปรากฏอย่างไร ?
เมื่อมนสิการโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง สังขารย่อมปรากฏโดยความ
สิ้นไป เมื่อมนสิการโดยความเป็นทุกข์ สังขารย่อมปรากฏโดยความเป็นของ
น่ากลัว เมื่อมนสิการโดยความเป็นอนัตตา สังขารย่อมปรากฏโดยความเป็น
ของสูญ.
เมื่อมนสิการโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา จิต
มากด้วยธรรมอะไร ?
เมื่อมนสิการโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง จิตมากด้วยความน้อมไป
เมื่อมนสิการโดยความเป็นทุกข์ จิตมากด้วยความสงบ เมื่อมนสิการโดยความ
เป็นอนัตตา จิตมากด้วยความรู้.
บุคคลผู้มนสิการโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง มากด้วยความน้อมใจไป
เมื่อมนสิการโดยความเป็นทุกข์ มากด้วยความสงบ เมื่อมนสิการโดยความเป็น
อนัตตา มากด้วยความรู้ ย่อมได้อินทรีย์เป็นไฉน ?
บุคคลผู้มนสิการโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง มากด้วยความน้อมใจไป
ย่อมได้สัทธินทรีย์ ผู้มนสิการโดยความเป็นทุกข์ มากด้วยความสงบ ย่อมได้
สมาธินทรีย์ ผู้มนสิการโดยความเป็นอนัตตา มากด้วยความรู้ ย่อมได้
ปัญญินทรีย์.
[489] เมื่อมนสิการโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง มากด้วยความ
น้อมใจเชื่อ อินทรีย์ที่เป็นใหญ่เป็นไฉน อินทรีย์ในภาวนาที่เป็นไปตามอินทรีย์
นั้นมีเท่าไร ทั้งเป็นสหชาตปัจจัย (ปัจจัยเกิดร่วมกัน ) เป็นอัญญมัญญปัจจัย
(เป็นปัจจัยของกันและกัน) เป็นนิสสยปัจจัย (ปัจจัยที่อาศัยกัน) เป็นสัมป-

ยุตตปัจจัย (ปัจจัยที่ประกอบกัน ) เป็นธรรมมีกิจเป็นอันเดียวกัน ชื่อว่าภาวนา
เพราะอรรถว่ากระไร ใครย่อมเจริญ เมื่อมนสิการโดยความเป็นทุกข์ มากไป
ด้วยความสงบ อินทรีย์ที่เป็นใหญ่เป็นไฉน... เมื่อมนสิการโดยความเป็น
อนัตตามากไปด้วยความรู้ อินทรีย์ที่เป็นใหญ่เป็นไฉน อินทรีย์แห่งภาวนาที่
เป็นไปตามอินทรีย์นั้นมีเท่าไร ทั้งเป็นสหชาตปัจจัย อัญญมัญญปัจจัย นิสสย-
ปัจจัย สัมปยุตตปัจจัย เป็นธรรมมีกิจเป็นอันเดียวกัน ชื่อว่าภาวนา เพราะ
อรรถว่ากระไร ใครย่อมเจริญ ?
เมื่อมนสิการโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง มากไปด้วยความน้อมใจเชื่อ
สัทธินทรีย์เป็นใหญ่ อินทรีย์แห่งภาวนาที่เป็นไปตามสัทธินทรีย์นั้นมี 4 ทั้ง
เป็นสหชาตปัจจัย... เป็นธรรมมีกิจเป็นอันเดียวกัน ชื่อว่าภาวนา เพราะอรรถ
ว่ามีกิจเป็นอันเดียวกัน ผู้ใดปฏิบัติชอบ ผู้นั้นย่อมเจริญ การเจริญอินทรีย์
ย่อมไม่มีแก่บุคคลผู้ปฏิบัติผิด เมื่อมนสิการโดยความเป็นทุกข์ มากไปด้วย
ความสงบ สมาธินทรีย์เป็นใหญ่... เมื่อมนสิการโดยความเป็นอนัตตามากไป
ด้วยความรู้ ปัญญินทรีย์เป็นใหญ่ อินทรีย์แห่งภาวนาที่เป็นไปตามสมาธินทรีย์
นั้นมี 4 ทั้งเป็นสหชาตปัจจัย อัญญมัญญปัจจัย นิสสยปัจจัย สัมปยุตตปัจจัย
เป็นธรรมมีกิจเป็นอันเดียวกัน ชื่อว่าภาวนา เพราะอรรถว่ามีกิจเป็นอันเดียว
กัน ผู้ใดปฏิบัติชอบ ผู้นั้นย่อมเจริญ การเจริญอินทรีย์ย่อมไม่มีแก่บุคคลผู้
ปฏิบัติผิด.
[490] เมื่อมนสิการโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง มากไปด้วยความ
น้อมใจเชื่อ อินทรีย์ที่เป็นใหญ่เป็นไฉน อินทรีย์แห่งภาวนาที่เป็นไปตาม
อินทรีย์นั้นมีเท่าไร ทั้งเป็นสหชาตปัจจัย เป็นอัญญมัญญปัจจัย เป็นนิสสย-
ปัจจัย เป็นสัมปยุตตปัจจัยในเวลาแทงตลอด มีอินทรีย์อะไรเป็นใหญ่ อินทรีย์

แห่งปฏิเวธที่เป็นไปตามอินทรีย์นั้นมีเท่าไร ทั้งเป็นสหชาตปัจจัย อัญญมัญญ-
ปัจจัย นิสสยปัจจัย สัมปยุตตปัจจัย เป็นธรรมมีกิจเป็นอันเดียวกัน ชื่อว่า
ภาวนา เพราะอรรถว่ากระไร ชื่อว่าปฏิเวธ เพราะอรรถว่ากระไร ?
เมื่อมนสิการโดยความเป็นทุกข์ มากไปด้วยความสงบ อินทรีย์ที่เป็น
ใหญ่เป็นไฉน ?
เมื่อมนสิการโดยความเป็นอนัตตา มากไปด้วยความรู้ อินทรีย์ที่เป็น
ใหญ่เป็นไฉน ?
เมื่อมนสิการโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง มากไปด้วยความน้อมใจเชื่อ
สัทธินทรีย์เป็นใหญ่ อินทรีย์แห่งภาวนาที่เป็นไปตามสัทธินทรีย์นั้นมี 4 ทั้ง
เป็นสหชาตปัจจัย อัญญมัญญปัจจัย นิสสยปัจจัย สัมปยุตตปัจจัย ในเวลา
แทงตลอด ปัญญินทรีย์เป็นใหญ่ อินทรีย์แห่งปฏิเวธที่เป็นไปตามปัญญินทรีย์
นั้นมี 4 ทั้งเป็นสหชาตปัจจัย อัญญมัญญปัจจัย นิสสยปัจจัย สัมปยุตตปัจจัย
เป็นธรรมมีกิจเป็นอันเดียวกัน ชื่อว่าภาวนา เพราะอรรถว่ามีกิจเป็นอันเดียวกัน
ชื่อว่าปฏิเวธ เพราะอรรถว่าเห็น ด้วยอาการอย่างนี้ แม้บุคคลผู้แทงตลอด
ก็ย่อมเจริญ แม้ผู้เจริญก็ย่อมแทงตลอด.
เมื่อมนสิการโดยความเป็นทุกข์ มากไปด้วยความสงบ สมาธินทรีย์
เป็นใหญ่...
เมื่อมนสิการโดยความเป็นอนัตตา มากไปด้วยความรู้ ปัญญินทรีย์
เป็นใหญ่...
[491] เมื่อมนสิการโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง อินทรีย์อะไรมี
ประมาณยิ่ง เพราะอินทรีย์อะไรมีประมาณยิ่ง บุคคลจึงเป็นสัทธาธิมุต เมื่อ
มนสิการโดยความเป็นทุกข์ อินทรีย์อะไรมีประมาณยิ่ง เพราะอินทรีย์อะไร

มีประมาณยิ่ง บุคคลจึงเป็นกายสักขี เมื่อมนสิการโดยความเป็นอนัตตา อินทรีย์
อะไรมีประมาณยิ่ง เพราะอินทรีย์อะไรมีประมาณยิ่ง บุคคลจึงเป็นทิฏฐิปัตตะ ?
เมื่อมนสิการโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง สัทธินทรีย์มีประมาณยิ่ง
เพราะสัทธินทรีย์มีประมาณยิ่ง บุคคลจึงเป็นสัทธาธิมุต เมื่อมนสิการโดยความ
เป็นทุกข์ สมาธินทรีย์มีประมาณยิ่ง เพราะสมาธินทรีย์มีประมาณยิ่ง บุคคล
จึงเป็นกายสักขี เมื่อมนสิการโดยความเป็นอนัตตา ปัญญินทรีย์มีประมาณยิ่ง
เพราะปัญญินทรีย์มีประมาณยิ่ง บุคคลจึงเป็นทิฏฐิปัตตะ.
[492] บุคคลผู้เชื่อน้อมใจไป เพราะเหตุนั้นจึงชื่อว่าสัทธาธิมุต
บุคคลทำให้แจ้งเพราะเป็นผู้ถูกต้องธรรม เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่ากายสักขี
บุคคลบรรลุแล้วเพราะเป็นผู้เห็นธรรม เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่าทิฏฐิปัตตะ
บุคคลเชื่ออยู่ย่อมน้อมใจไป เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่าสัทธาธิมุต บุคคลถูกต้อง
ฌานก่อน ภายหลังจึงการทำให้แจ้งซึ่งนิพพานอันเป็นที่ดับ เพราะเหตุนั้น
จึงชื่อว่ากายสักขี ญาณความรู้ว่า สังขารเป็นทุกข์ นิโรธเป็นสุข เป็นญาณ
อันบุคคลเห็นแล้ว ทราบแล้ว ทำให้แจ้งแล้ว ถูกต้องแล้วด้วยปัญญา เพราะ
เหตุนั้น จึงชื่อว่าทิฏฐิปัตตะ บุคคล 3 จำพวกนี้ คือ สัทธาธิมุตบุคคล
กายสักขีบุคคล 1 ทิฏฐิปัตตบุคคล 1 พึงเป็นสัทธาธิมุตก็ได้ เป็นกายสักขี
ก็ได้ เป็นทิฏฐิปัตตะก็ได้ ด้วยสามารถแห่งวัตถุโดยปริยาย.
คำว่า พึงเป็น คือ พึงเป็นอย่างไรเล่า ?
เมื่อมนสิการโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง สัทธินทรีย์มีประมาณยิ่ง
เพราะสัทธินทรีย์มีประมาณยิ่ง บุคคลพึงเป็นสัทธาธิมุต เมื่อมนสิการโดยความ
เป็นทุกข์ สัทธินทรีย์มีประมาณยิ่ง... เมื่อมนสิการโดยความเป็นอนัตตา
สัทธินทรีย์มีประมาณยิ่ง เพราะสัทธินทรีย์มีประมาณยิ่ง บุคคลจึงเป็นสัทธาธิมุต
บุคคล 3 จำพวกนี้ เป็นสัทธาธิมุตด้วยสามารถแห่งสัทธินทรีย์อย่างนี้.

เมื่อมนสิการโดยความเป็นทุกข์ สมาธินทรีย์ประมาณยิ่ง เพราะ
สมาธินทรีย์มีประมาณยิ่ง บุคคลจึงเป็นกายสักขี เมื่อมนสิการโดยความเป็น
อนัตตา สมาธินทรีย์มีประมาณยิ่ง...เมื่อมนสิการโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง
สมาธินทรีย์มีประมาณยิ่ง เพราะสมาธินทรีย์มีประมาณยิ่ง บุคคลจึงเป็น
กายสักขี บุคคล 3 จำพวกนี้ เป็นกายสักขีด้วยสามารถแห่งสมาธินทรีย์อย่างนี้.
เมื่อมนสิการโดยความเป็นอนัตตา ปัญญินทรีย์มีประมาณยิ่ง เพราะ
ปัญญินทรีย์มีประมาณยิ่ง บุคคลจึงเป็นทิฏฐิปัตตะ เมื่อมนสิการโดยความ
เป็นสภาพไม่เที่ยง ปัญญินทรีย์มีประมาณยิ่ง... เมื่อมนสิการโดยความเป็นทุกข์
ปัญญินทรีย์มีประมาณยิ่ง เพราะปัญญินทรีย์มีประมาณยิ่ง บุคคลจึงเป็น
ทิฏฐิปัตตะ บุคคล 3 จำพวกนี้ เป็นทิฏฐิปัตตะด้วยสามารถแห่งปัญญินทรีย์
อย่างนี้ คือ สัทธาธิมุตบุคคล 1 กายสักขีบุคคล 1 ทิฏฐิปัตตบุคคล 1 พึง
เป็นสัทธาธิมุตก็ได้ เป็นกายสักก็ได้ เป็นทิฏฐิปัตตะก็ได้อย่างนี้.
บุคคล 3 จำพวกนี้ คือ สัทธาวิมุตบุคคล 1 กายสักขีบุคคล 1
ทิฏฐิปัตตบุคคล 1 เป็นสัทธาธิมุตอย่างหนึ่ง เป็นกายสักขีอย่างหนึ่ง เป็น
ทิฏฐิปัตตะอย่างหนึ่ง เมื่อมนสิการโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง สัทธินทรีย์มี
ประมาณยิ่ง เพราะสัทธินทรีย์มีประมาณยิ่ง จึงเป็นสัทธาธิมุตบุคคล เมื่อ
มนสิการโดยความเป็นทุกข์ สมาธินทรีย์มีประมาณยิ่ง เพราะสมาธินทรีย์มี
ประมาณยิ่ง จึงเป็นกายสักขีบุคคล เมื่อมนสิการโดยความเป็นอนัตตา
ปัญญินทรีย์มีประมาณยิ่ง เพราะปัญญินทรีย์มีประมาณยิ่ง จึงเป็นทิฏฐิปัตต-
บุคคล บุคคล 3 จำพวกนี้ คือ สัทธาธิมุตบุคคล 1 กายสักขีบุคคล 1
ทิฏฐิปัตตบุคคล 1 เป็นสัทธาธิมุตอย่างหนึ่ง เป็นกายสักขีอย่างหนึ่ง เป็น
ทิฏฐิปัตตะอย่างหนึ่ง อย่างนี้.

[493] เมื่อมนสิการโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง สัทธินทรีย์มี
ประมาณยิ่ง เพราะสัทธินทรีย์มีประมาณยิ่ง บุคคลจึงได้โสดาปัตติมรรค
เพราะเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า เป็นสัทธานุสารีบุคคล อินทรีย์ที่เป็นไปตาม
สัทธินทรีย์นั้นมี 4 ทั้งเป็นสหชาตปัจจัย อัญญมัญญปัจจัย นิสสยปัจจัย
สัมปยุตตปัจจัย การเจริญอินทรีย์ 4 ย่อมมีด้วยสามารถแห่งสัทธินทรีย์ ก็
บุคคลเหล่าใดเหล่าหนึ่ง ได้โสดาปัตติมรรคด้วยสามารถแห่งสัทธินทรีย์ บุคคล
ทั้งหมดนั้นเป็นสัทธานุสารีบุคคล เมื่อมนสิการโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง
สัทธินทรีย์มีประมาณยิ่ง เพราะสัทธินทรีย์มีประมาณยิ่ง บุคคลจึงทำให้แจ้ง
โสดาปัตติผล เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า เป็นสัทธาธิมุตบุคคล อินทรีย์
ที่เป็นไปตามสัทธินทรีย์นั้นมี 4 ทั้งเป็นสหชาตปัจจัย อัญญมัญญปัจจัย
นิสสยปัจจัย สัมปยุตตปัจจัย อินทรีย์ 4 เป็นอันบุคคลเจริญแล้ว เจริญดีแล้ว
ด้วยสามารถแห่งสัทธินทรีย์ ก็บุคคลเหล่าใดเหล่าหนึ่ง ทำให้แจ้งโสดาปัตติผล
ด้วยสามารถแห่งสัทธินทรีย์ บุคคลทั้งหมดนั้นเป็นสัทธาธิมุตบุคคล เมื่อ
มนสิการโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง สัทธินทรีย์มีประมาณยิ่ง เพราะสัท-
ธินทรีย์มีประมาณยิ่ง บุคคลจึงได้สกทาคามิมรรค ฯลฯ ทำให้แจ้งสกทาคามิผล
ได้อนาคามิมรรคทำให้แจ้งอนาคามิผล ได้อรหัตมรรคทำให้แจ้งอรหัตผล
เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า เป็นสัทธาธิมุตบุคคล อินทรีย์ที่เป็นไปตาม
สัทธินทรีย์นั้นมี 4 ฯลฯ สัมปยุตตปัจจัย อินทรีย์ 4 เป็นอันบุคคลเจริญแล้ว
เจริญดีแล้ว ด้วยสามารถแห่งสัทธินทรีย์ ก็บุคคลเหล่าใดเหล่าหนึ่ง ทำให้
แจ้งอรหัตผลด้วยสามารถแห่งสัทธินทรีย์ บุคคลทั้งหมดนั้นเป็นสัทธาธิมุต.
[494] เมื่อมนสิการโดยความเป็นทุกข์ สมาธินทรีย์มีประมาณยิ่ง
เพราะสมาธินทรีย์มีประมาณยิ่ง บุคคลจึงได้โสดาปัตติมรรค เพราะเหตุนั้น

ท่านจึงกล่าวว่า เป็นกายสักขีบุคคล อินทรีย์ที่ไปตามสมาธินทรีย์นั้นมี 4
ทั้งเป็นสหชาตปัจจัย... สัมปยุตตปัจจัย การเจริญอินทรีย์ 4 ย่อมมีด้วย
สามารถแห่งสมาธินทรีย์ ก็บุคคลเหล่าใดเหล่าหนึ่ง ได้โสดาปัตติมรรคด้วย
สามารถแห่งสมาธินทรีย์ บุคคลทั้งหมดนั้นเป็นกายสักขี เมื่อมนสิการโดยความ
เป็นทุกข์ สมาธินทรีย์มีประมาณยิ่ง เพราะสมาธินทรีย์มีประมาณยิ่ง บุคคล
จึงทำให้แจ้งโสดาปัตติผล ฯลฯ ได้สกทาคามิมรรค ทำให้แจ้งสกทาคามิผล
ได้อนาคามิมรรค ทำให้แจ้งอนาคามิผล ได้อรหัตมรรค ทำให้แจ้งอรหัตผล
เพราะเหตุนั้นจึงกล่าวว่า เป็นกายสักขีบุคคล อินทรีย์ที่เป็นไปตามสมาธินทรีย์
นั้นมี 4 ทั้งเป็นสหชาตปัจจัย...สัมปยุตตปัจจัย อินทรีย์ 4 เป็นอันบุคคล
เจริญแล้ว เจริญดีแล้ว ด้วยสามารถแห่งสมาธินทรีย์ ก็บุคคลเหล่าใดเหล่าหนึ่ง
ทำให้แจ้งอรหัตผลด้วยสามารถแห่งสมาธินทรีย์ บุคคลทั้งหมดนั้นเป็นกายสักขี.
[495] เมื่อมนสิการโดยความเป็นอนัตตา ปัญญินทรีย์ มีประมาณ
ยิ่ง เพราะปัญญินทรีย์มีประมาณยิ่ง บุคคลจึงได้โสดาปัตติมรรค เพราะเหตุ
นั้น ท่านจึงกล่าวว่า เป็นธรรมานุสารีบุคคล อินทรีย์ที่เป็นไปตามปัญญินทรีย์
นั้นมี 4 ฯลฯ สัมปยุตตปัจจัย การเจริญอินทรีย์ 4 ย่อมมีได้ด้วยสามารถแห่ง
ปัญญินทรีย์ ก็บุคคลเหล่าใดเหล่าหนึ่ง ได้โสดาปัตติมรรคด้วยสามารถแห่ง
ปัญญินทรีย์ บุคคลทั้งหมดนั้นเป็นธรรมานุสารี เมื่อมนสิการโดยความเป็น
อนัตตา ปัญญินทรีย์มีประมาณยิ่ง เพราะปัญญินทรีย์มีประมาณยิ่ง บุคคลจึง
ทำให้แจ้งโสดาปัตติผล เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า เป็นทิฏฐิปัตตบุคคล
อินทรีย์ที่เป็นไปตามปัญญินทรีย์นั้นมี 4 ฯลฯ สัมปยุตตปัจจัย อินทรีย์ 4
เป็นอันบุคคลเจริญแล้ว เจริญดีแล้ว ด้วยสามารถแห่งปัญญินทรีย์ ก็บุคคล
เหล่าใดเหล่าหนึ่ง ทำให้แจ้งโสดาปัตติผลด้วยสามารถแห่งปัญญินทรีย์ บุคคล

ทั้งหมดนั้นเป็นทิฏฐิปัตตะ เมื่อมนสิการโดยความเป็นอนัตตา ปัญญินทรีย์
มีประมาณยิ่ง เพราะปัญญินทรีย์มีประมาณยิ่ง บุคคลจึงได้สกทาคามิมรรค
ฯลฯ ทำให้แจ้งสกทาคามิผล ได้อนาคามิมรรค ทำให้แจ้งอนาคามิผล ได้
อรหัตมรรค ทำให้แจ้งอรหัตผล เพราะเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า เป็นทิฏฐิปัตต-
บุคคล อินทรีย์ที่เป็นไปตามปัญญินทรีย์นั้นมี 4 ทั้งเป็นสหชาตปัจจัย
อัญญมัญญปัจจัย นิสสยปัจจัย สัมปยุตตปัจจัย อินทรีย์ 4 เป็นอันบุคคล
เจริญแล้ว เจริญดีแล้ว ด้วยสามารถแห่งปัญญินทรีย์ ก็บุคคลเหล่าใดเหล่าหนึ่ง
ทำให้แจ้งอรหัตผลด้วยสามารถแห่งปัญญินทรีย์ บุคคลทั้งหมดนั้นเป็น
ทิฏฐิปัตตะ.
[496] ก็บุคคลเหล่าใดเหล่าหนึ่งเจริญแล้ว ย่อมเจริญ หรือจักเจริญ
ซึ่งเนกขัมมะ บรรลุแล้ว ย่อมบรรลุ หรือจักบรรลุ ถึงแล้ว ย่อมถึง หรือ
จักถึง ได้แล้ว ย่อมได้ หรือจักได้ แทงตลอดแล้ว ย่อมแทงตลอด หรือจัก
แทงตลอด ทำให้แจ้งแล้ว ย่อมทำให้แจ้ง หรือจักทำให้แจ้ง ถูกต้องแล้ว
ย่อมถูกต้อง หรือจักถูกต้อง ถึงความชำนาญแล้ว ย่อมถึงความชำนาญ หรือ
จักถึงความชำนาญ ถึงความสำเร็จแล้ว ย่อมถึงความสำเร็จ หรือจักถึงความ
สำเร็จ ถึงความแกล้วกล้าแล้ว ย่อมถึงความแกล้วกล้า หรือจักถึงความแกล้ว
กล้า บุคคลทั้งหมดนั้นเป็นสัทธาธิมุตด้วยสามารถแห่งสัทธินทรีย์ เป็นกายสักขี
ด้วยสามารถแห่งสมาธินทรีย์ เป็นทิฏฐิปัตตะด้วยสามารถแห่งปัญญินทรีย์.
[497] บุคคลเหล่าใดเหล่าหนึ่งเจริญแล้ว ย่อมเจริญ หรือจักเจริญ
ซึ่งความไม่พยาบาท ฯลฯ อาโลกสัญญา ความไม่ฟุ้งซ่าน การกำหนดธรรม
ญาณความปราโมทย์ ปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตถฌาน อากาสานัญ-
จายตนสมาบัติ วิญญาญัญจายตนสมาบัติ อากิญจัญญายตนสมาบัติ เนวสัญญา-

นาสัญญายตนสมาบัติ อนิจจานุปัสสนา ทุกขานุปัสสนา อนัตตานุปัสสนา
นิพพิทานุปัสสนา วิราคานุปัสสนา นิโรธานุปัสสนา ปฏินิสสัคคานุปัสสนา
ขยานุปัสสนา วิปริณามานุปัสสนา อนิมิตตานุปัสสนา อัปปณิหิตานุปัสสนา
สุญญตานุปัสสนาอธิปัญญาธรรมวิปัสสนา ยถาภูตญาณทัสนะอาทีนวานุปัสสนา
ปฏิสังขานุปัสสนา วิวัฏฏนานุปัสสนา โสดาปัตติมรรค สกทาคามิมรรค อนาคา-
มิมรรค อรหัตมรรค.
ก็บุคคลเหล่าใดเหล่าหนึ่งเจริญแล้ว ย่อมเจริญ หรือจักเจริญ ซึ่ง
สติปัฏฐาน 4 สัมมัปปธาน 4 อิทธิบาท 4 อินทรีย์ 5 พละ 5 โพชฌงค์ 7
อริยมรรคมีองค์ 8 ก็บุคคลเหล่าใดเหล่าหนึ่งเจริญแล้ว ย่อมเจริญ หรือจักเจริญ
ซึ่งวิโมกข์ 8 บรรลุแล้ว ย่อมบรรลุ หรือจักบรรลุ ถึงแล้ว ย่อมถึงหรือจัก
ถึง ได้แล้ว ย่อมได้ หรือจักได้ แทงตลอดแล้ว ย่อมแทงตลอด หรือ
จักแทงตลอด ทำให้แจ้งแล้ว ย่อมทำให้แจ้ง หรือจักทำให้แจ้ง ถูกต้องแล้ว
ย่อมถูกต้อง หรือจักถูกต้อง ถึงความชำนาญแล้ว ย่อมถึงความชำนาญ หรือ
จักถึงความชำนาญ ถึงความสำเร็จแล้ว ย่อมถึงความสำเร็จ หรือจักถึงความ
สำเร็จ ถึงความแกล้วกล้าแล้ว ย่อมถึงความแกล้วกล้า หรือจักถึงความ
แกล้วกล้า บุคคลทั้งหมดนั้นเป็นสัทธาธิมุตด้วยสามารถแห่งสัทธินทรีย์ เป็นกาย-
สักขีด้วยสามารถแห่งสมาธินทรีย์ เป็นทิฏฐิปัตตะด้วยสามารถแห่งปัญญินทรีย์.
[498] ก็บุคคลเหล่าใดเหล่าหนึ่ง บรรลุแล้ว ย่อมบรรลุ หรือ
จักบรรลุซึ่งปฏิสัมภิทา 4 ฯลฯ บุคคลทั้งหมดนั้น เป็นสัทธาธิมุตด้วยสามารถ
แห่งสัทธินทรีย์ เป็นกายสักขีด้วยสามารถแห่งสมาธินทรีย์ เป็นทิฏฐิปัตตะแล้ว
ด้วยสามารถแห่งปัญญินทรีย์.
ก็บุคคลเหล่าใดเหล่าหนึ่งแทงตลอดแล้ว ย่อมแทงตลอด หรือจัก
แทงตลอดซึ่งวิชชา 3 ฯลฯ บุคคลทั้งหมดนั้น เป็นสัทธาธิมุตด้วยสามารถแห่ง

สัทธินทรีย์ เป็นกายสักขีด้วยสามารถแห่งสมาธินทริย์ เป็นทิฏฐิปัตตะด้วย
สามารถแห่งปัญญินทรีย์.
ก็บุคคลเหล่าใดเหล่าหนึ่งศึกษาแล้ว ย่อมศึกษา หรือจักศึกษาซึ่ง
สิกขา 3 ทำให้แจ้งแล้ว ย่อมทำให้แจ้ง หรือจักทำให้แจ้ง ถูกต้องแล้ว ย่อม
ถูกต้อง หรือจักถูกต้อง ถึงความชำนาญแล้ว ย่อมถึงความชำนาญ หรือจัก
ถึงความชำนาญ ถึงความสำเร็จแล้ว ย่อมถึงความสำเร็จ หรือจักถึงความสำเร็จ
ถึงความแกล้วกล้าแล้ว ย่อมถึงความแกล้วกล้า หรือจักถึงความแกล้วกล้า
บุคคลทั้งหมดนั้นเป็นสัทธาธิมุตด้วยสามารถแห่งสัทธินทรีย์ เป็นกายสักขีด้วย
สามารถแห่งสมาธินทรีย์ เป็นทิฏฐิปัตตะด้วยสามารถแห่งปัญญินทรีย์.
ก็บุคคลเหล่าใดเหล่าหนึ่งกำหนดรู้ทุกข์ ละสมุทัย ทำให้แจ้งนิโรธ
เจริญมรรค บุคคลทั้งหมดนั้น เป็นสัทธาธิมุต ด้วยสามารถแห่งสัทธินทรีย์
เป็นกายสักขีด้วยสามารถแห่งสมาธินทรีย์ เป็นทิฏฐิปัตตะด้วยสามารถแห่ง
ปัญญินทรีย์.
[499] การแทงตลอดสัจจะ ย่อมมีได้ด้วยอาการเท่าไร บุคคลย่อม
แทงตลอดสัจจะด้วยอาการเท่าไร.
การแทงตลอดสัจจะย่อมมีได้ด้วยอาการ 4 บุคคลย่อมแทงตลอดสัจจะ
ด้วยอาการ 4 คือ บุคคลย่อมแทงตลอดทุกขสัจเป็นการแทงตลอดด้วยปริญญา
แทงตลอดสมุทยสัจ เป็นการแทงตลอดด้วยปหานะ แทงตลอดนิโรธสัจ เป็น
การแทงตลอดด้วยสัจฉิกิริยา แทงตลอดมรรคสัจ เป็นการแทงตลอดด้วย
ภาวนา การแทงตลอดสัจจะย่อมมีได้ด้วยอาการ 4 นี้ บุคคลแทงตลอดสัจจะ
ด้วยอาการ 4 นี้ เป็นสัทธาธิมุตด้วยสามารถแห่งสัทธินทรีย์ เป็นกายสักขี
ด้วยสามารถแห่งสมาธินทรีย์ เป็นทิฏฐิปัตตะด้วยสามารถแห่งปัญญินทรีย์.

การแทงตลอดสัจจะย่อมมีได้ด้วยอาการเท่าไร บุคคลย่อมแทงตลอด
สัจจะด้วยอาการเท่าไร.
การแทงตลอดสัจจะย่อมมีได้ด้วยอาการ 9 บุคคลย่อมแทงตลอดสัจจะ
ด้วยอาการ 9 คือ ย่อมแทงตลอดทุกขสัจ เป็นการแทนตลอดด้วยปริญญา
แทงตลอดสมุทยสัจ เป็นการแทงตลอดด้วยสัจฉิกิริยา แทงตลอดมรรคสัจ
เป็นการแทงตลอดสมุทยสัจ เป็นการแทงตลอดด้วยสัจฉิกิริยา แทงตลอด
มรรคสัจ เป็นการแทงตลอดด้วยภาวนา การแทงตลอดด้วยการเจริญมรรคสัจ
การแทงตลอดด้วยอาการกำหนดรู้ธรรมทั้งปวง การแทงตลอดด้วยการละสังขาร
ทั้งปวง การแทงตลอดด้วยการเจริญกุศลทั้งปวง และการแทงตลอดด้วยการ
ทำให้แจ้งมรรค 4 แห่ง นิโรธ การแทงตลอดสัจจะย่อมมีได้ด้วยอาการ 9 นี้
บุคคลแทงตลอดสัจจะด้วยอาการ 9 นี้ เป็นสัทธาธิมุตด้วยสามารถแห่ง
สัทธินทรีย์ เป็นกายสักขีด้วยสามารถแห่งสมาธินทรีย์ เป็นทิฏฐิปัตตะด้วยสามารถ
แห่งปัญญินทรีย์.
จบทุติยภาณวาร

[500] เมื่อมนสิการโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง โดยความเป็นทุกข์
โดยความเป็นอนัตตา สังขารย่อมปรากฏอย่างไร.
เมื่อมนสิการโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง สังขารย่อมปรากฏโดยความ
สิ้นไป เมื่อมนสิการโดยความเป็นทุกข์ สังขารย่อมปรากฏโดยความเป็นของ
น่ากลัว เมื่อมนสิการโดยความเป็นอนัตตา สังขารย่อมปรากฏโดยความเป็น
ของว่างเปล่า.
เมื่อมนสิการโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง โดยความเป็นทุกข์ โดย
ความเป็นอนัตตา จิตย่อมมากด้วยอะไร.

เมื่อมนสิการโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง จิตย่อมมากด้วยความน้อมใจ
เชื่อ เมื่อมนสิการโดยความเป็นทุกข์ จิตย่อมมากด้วยความสงบ เมื่อมนสิการ
โดยความเป็นอนัตตา จิตย่อมมากด้วยความรู้.
บุคคลมนสิการโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง เป็นผู้มากด้วยความน้อมใจ
เชื่อ มนสิการโดยความเป็นทุกข์ เป็นผู้มากด้วยความสงบ มนสิการโดยความ
เป็นอนัตตา เป็นผู้มากด้วยความรู้ ย่อมโดยวิโมกข์เป็นไฉน.
บุคคลมนสิการโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง เป็นผู้มากด้วยความน้อมใจ
เชื่อ ย่อมได้อนิมิตตวิโมกข์ มนสิการโดยความเป็นทุกข์ เป็นผู้มากด้วยความ
สงบ ย่อมได้อัปปณิหิตวิโมกข์ มนสิการโดยความเป็นอนัตตา เป็นผู้มากด้วย
ความรู้ ย่อมได้สุญญตวิโมกข์.
[501] เมื่อมนสิการโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง เป็นผู้มากด้วยความ
น้อมใจเชื่อ วิโมกข์อะไรเป็นใหญ่ วิโมกข์แห่งภาวนาที่เป็นไปตามวิโมกข์นั้น
มีเท่าไร ทั้งเป็นสหชาตปัจจัย อัญญมัญญปัจจัย นิสสยปัจจัย สัมปยุตตปัจจัย
มีกิจอันเดียวกันชื่อว่าภาวนา เพราะอรรถว่ากระไร ใครเจริญ.
เมื่อมนสิการโดยความเป็นทุกข์ เป็นผู้มากด้วยความสงบ วิโมกข์อะไร
เป็นใหญ่...ใครเจริญ.
เมื่อมนสิการโดยความเป็นอนัตตา เป็นผู้มากด้วยความรู้ วิโมกข์อะไร
เป็นใหญ่...ใครเจริญ.
เมื่อมนสิการโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง เป็นผู้มากด้วยความน้อมใจ
เชื่อ อนิมิตตวิโมกขเป็นใหญ่วิโมกข์แห่งภาวนาที่เป็นไปตามอนิมิตตวิโมกข์นั้น
มี 2 ทั้งเป็นสหชาตปัจจัย...มีกิจเป็นอันเดียวกัน ชื่อว่าภาวนา เพราะอรรถ

ว่ามีกิจเป็นอันเดียวกัน ผู้ใดปฏิบัติชอบ ผู้นั้นเจริญ การเจริญวิโมกข์ย่อม
ไม่มีแก่บุคคลผู้ปฏิบัติผิด.
เมื่อมนสิการโดยความเป็นทุกข์เป็นผู้มากด้วยความสงบ อัปปณิหิต-
วิโมกข์เป็นใหญ่ วิโมกข์แห่งภาวนาที่เป็นไปตามอัปปณิหิตวิโมกข์นั้นมี 2 ทั้ง
เป็นสหชาตปัจจัย...การเจริญวิโมกข์ย่อมไม่มีแก่ผู้ปฏิบัติผิด.
เมื่อมนสิการโดยความเป็นอนัตตา เป็นผู้มากด้วยความรู้ สุญญตวิโมกข์
เป็นใหญ่ วิโมกข์แห่งภาวนาที่เป็นไปตามสุญญตวิโมกข์นั้นมี 2 ทั้งเป็นสหชาต
ปัจจัย...การเจริญวิโมกข์ย่อมไม่มีแก่ผู้ปฏิบัติผิด.
[502] เมื่อมนสิการโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยงเป็นผู้มากด้วยความ
น้อมใจเธอ วิโมกข์อะไรเป็นใหญ่ วิโมกข์แห่งภาวนาที่เป็นไปตามวิโมกข์นั้น
มีเท่าไร ทั้งเป็นสหชาตปัจจัย อัญญมัญญปัจจัย นิสสยปัจจัย สัมปยุตตปัจจัย
มิกิจเป็นอันเดียวกันชื่อว่าภาวนา เพราะอรรถว่ามีกิจเป็นอันเดียวกัน ในเวลา
แทงตลอด วิโมกข์ไหนเป็นใหญ่ วิโมกข์แห่งการแทงตลอดที่เป็นไปตามวิโมกข์
นั้นมีเท่าไร ทั้งเป็นสหชาตปัจจัย อัญญมัญญปัจจัย นิสสยปัจจัย สัมปยุตต-
ปัจจัย มีกิจเป็นอันเดียวกัน ชื่อว่าภาวนา เพราะอรรถว่ากระไร ชื่อว่าปฏิเวธ
เพราะอรรถว่ากระไร.
เมื่อมนสิการโดยความเป็นทุกข์ เป็นผู้มากด้วยความสงบ วิโมกข์อะไร
เป็นใหญ่...ชื่อว่าปฏิเวธ เพราะอรรถว่ากระไร.
เมื่อมนสิการโดยความเป็นอนัตตา เป็นผู้มากด้วยความรู้ วิโมกข์อะไร
เป็นใหญ่...ชื่อว่าปฏิเวธ เพราะอรรถว่ากระไร.
เมื่อมนสิการโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง เป็นผู้มากด้วยความน้อมใจ
เชื่อ อนิมิตตวิโมกข์เป็นใหญ่ วิโมกข์แห่งภาวนา ที่เป็นไปตามอนิมิตตวิโมกข์

นั้น มี 2 ทั้งเป็นสหชาตปัจจัย อัญญมัญญปัจจัย นิสสยปัจจัย สัมปยุตปัจจัย
มีกิจเป็นอันเดียวกัน แม้ในเวลาแทงตลอด อนิมิตตวิโมกข์ก็เป็นใหญ่ วิโมกข์
แห่งการแทงตลอดที่เป็นไปตามอนิมิตตวิโมกข์นั้นก็มี 2 ทั้งเป็นสหชาตปัจจัย
อัญญมัญญปัจจัย นิสสยปัจจัย สัมปยุตตปัจจัย มีกิจเป็นอันเดียวกัน ชื่อว่า
ภาวนา เพราะอรรถว่ามีกิจเป็นอันเดียวกัน ชื่อว่าปฏิเวธ เพราะอรรถว่าเห็น
แม้บุคคลผู้แทงตลอดอย่างนี้ก็ชื่อว่าเจริญ แม้ผู้เจริญก็ชื่อว่าแทงตลอด.
เมื่อมนสิการโดยความเป็นทุกข์ เป็นผู้มากด้วยความสงบ อัปปณิหิต-
วิโมกข์เป็นใหญ่ วิโมกข์แห่งภาวนาที่เป็นไปตามอัปปณิหิตวิโมกข์นั้น มี 2 ทั้ง
เป็นสหชาตปัจจัย...มีกิจเป็นอันเดียวกัน แม้ในเวลาแทงตลอด อัปปณิหิต-
วิโมกข์ก็เป็นใหญ่ วิโมกข์แห่งการแทงตลอดที่เป็นไปตามอัปปณิหิตวิโมกข์นั้น
ก็มี 2 ทั้งเป็นสหชาตปัจจัย แม้ผู้เจริญก็ชื่อว่าแทงตลอด.
เมื่อมนสิการโดยความเป็นอนัตตา เป็นผู้มากด้วยความรู้ สุญญต-
วิโมกข์เป็นใหญ่ วิโมกข์แห่งภาวนาที่เป็นไปตามสุญญตวิโมกข์นั้น มี 2 ทั้งเป็น
สหชาตปัจจัย...มีกิจเป็นอันเดียวกัน แม้ในเวลาแทงตลอด สุญญตวิโมกข์
ก็เป็นใหญ่ วิโมกข์แห่งการแทงตลอดที่เป็นไปตามสุญญตวิโมกข์นั้นก็มี 2
ทั้งเป็นสหชาตปัจจัย... แม้ผู้เจริญก็ชื่อว่าแทงตลอด.
[503] เมื่อมนสิการโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง วิโมกข์อะไรมี
ประมาณยิ่ง เพราะวิโมกข์อะไรมีประมาณยิ่ง บุคคลจึงเป็นสัทธาธิมุต เมื่อ
มนสิการโดยความเป็นทุกข์ วิโมกข์อะไรมีประมาณยิ่ง เพราะวิโมกข์อะไร
มีประมาณยิ่ง บุคคลจึงเป็นกายสักขี เมื่อมนสิการโดยความเป็นอนัตตา วิโมกข์
อะไรมีประมาณยิ่ง เพราะวิโมกข์อะไรมีประมาณยิ่ง บุคคลจึงเป็นทิฏฐิปัตตะ.

เมื่อมนสิการโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง อนิมิตตวิโมกข์มีประมาณยิ่ง
เพราะอนิมิตตวิโมกข์มีประมาณยิ่ง บุคคลจึงเป็นสัทธาธิมุต เมื่อมนสิการโดย
ความเป็นทุกข์ อัปปณิหิตวิโมกข์มีประมาณยิ่ง เพราะอัปปณิหิตวิโมกข์มี
ประมาณยิ่ง บุคคลจึงเป็นกายสักขี เมื่อมนสิการโดยความเป็นอนัตตา สุญญต-
วิโมกข์มีประมาณยิ่ง เพราะสุญญตวิโมกข์มีประมาณยิ่ง บุคคลจึงเป็นทิฏฐิปัตตะ.
[504] บุคคลเชื่อน้อมใจไป เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่าสัทธาธิมุตบุคคล
บุคคลทำให้แจ้ง เพราะเป็นผู้ถูกต้องธรรม เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่ากายสักขี-
บุคคล บุคคลถึงแล้วเพราะเป็นผู้เห็นธรรม เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่าทิฏฐิปัตต-
บุคคล บุคคลเชื่อย่อมน้อมใจไป เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่าสัทธาธิมุตบุคคล
บุคคลถูกต้องฌานก่อน ภายหลังจึงทำให้แจ้งนิพพานอันเป็นที่ดับ เพราะเหตุ
นั้น จึงชื่อว่ากายสักขีบุคคล ญาณความรู้ว่า สังขารเป็นทุกข์ นิโรธเป็นสุข
เป็นญาณอันบุคคลเห็นแล้ว ทราบแล้ว ทำให้แจ้งแล้ว ถูกต้องแล้ว ด้วยปัญญา
เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่าทิฏฐิปัตตบุคคล.
ก็บุคคลเหล่าใดเหล่าหนึ่งเจริญแล้วหรือจักเจริญซึ่งเนกขัมมะ ฯลฯ
บุคคลทั้งหมดนั้น เป็นสัทธาธิมุตด้วยสามารถแห่งอนิมิตวิโมกข์ เป็นกายสักขี
ด้วยสามารถแห่งอัปปณิหิตวิโมกข์ เป็นทิฏฐิปัตตะด้วยสามารถแห่งสุญญตวิโมกข์
ก็บุคคลเหล่าใดเหล่าหนึ่งเจริญแล้ว ย่อมเจริญ หรือจักเจริญซึ่งความไม่พยาบาท
อาโลกสัญญา ฯลฯ ความไม่ฟุ้งซ่าน.
ก็บุคคลเหล่าใดเหล่าหนึ่งกำหนดรู้ทุกข์ ละสมุทัย ทำให้แจ้งนิโรธ
เจริญมรรค บุคคลทั้งหมดนั้น เป็นสัทธาธิมุตด้วยสามารถแห่งอนิมิตตวิโมกข์
เป็นกายสักขีด้วยสามารถแห่งอัปปณิหิตวิโมกข์ เป็นทิฏฐิปัตตะด้วยสามารถแห่ง
สุญญตวิโมกข์.

[505] การแทงตลอดสัจจะ ย่อมมีได้ด้วยอาการเท่าไร บุคคลย่อม
แทงตลอดสัจจะได้ด้วยอาการเท่าไร.
การแทงตลอดสัจจะย่อมมีได้ด้วยอาการ 4 บุคคลย่อมแทงตลอดสัจจะ
ได้ด้วยอาการ 4 คือ ย่อมแทงตลอดทุกขสัจ เป็นการแทงตลอดด้วยปริญญา
แทงตลอดสมุทัยสัจ เป็นการแทงตลอดด้วยปหานะ แทงตลอดนิโรธสัจเป็น
การแทงตลอดด้วยสัจฉิกิริยา แทงตลอดมรรคสัจ เป็นการแทงตลอดด้วยภาวนา
การแทงตลอดสัจจะย่อมมีด้วยอาการ 4 นี้ บุคคลแทงตลอดสัจจะ ด้วยอาการ
4 นี้ เป็นสัทธาธิมุตด้วยสามารถแห่งอนิมิตตวิโมกข์ เป็นกายสักขีด้วยสามารถ
แห่งอัปปณิหิตวิโมกข์ เป็นทิฏฐิปัตตะด้วยสามารถแห่งสุญญตวิโมกข์.
การแทงตลอดสัจจะย่อมมีได้ด้วยอาการเท่าไร บุคคลย่อมแทงตลอด
สัจจะได้ด้วยอาการเท่าไร.
การแทงตลอดสัจจะย่อมมีได้ด้วยอาการ 9 บุคคลย่อมแทงตลอด
สัจจะได้ด้วยอาการ 9 คือ ย่อมแทงตลอดทุกขสัจ เป็นการแทงตลอดด้วย
ปริญญา ฯลฯ และการแทงตลอดด้วยการทำให้แจ้งซึ่งมรรค 4 แห่งนิโรธ
การแทงตลอดสัจจะย่อมมีได้ด้วยอาการ 9 นี้ บุคคลแทงตลอดสัจจะด้วยอาการ
9 นี้ เป็นสัทธาธิมุตด้วยสามารถแห่งอนิมิตตวิโมกข์ เป็นกายสักขีด้วยสามารถ
แห่งอัปปณิหิตวิโมกข์ เป็นทิฏฐิปัตตะด้วยสามารถแห่งสุญญตวิโมกข์.
[506] เมื่อบุคคลมนสิการโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง ย่อมรู้ย่อม
เห็นธรรมเหล่าไหนตามความเป็นจริง สัมมาทัศนะ ความเห็นชอบย่อมมีได้
อย่างไร สังขารทั้งปวงเป็นสภาพอันบุคคลเห็นดีแล้ว โดยความเป็นสภาพ
ไม่เที่ยง ด้วยความเป็นไปตามสัมมาทัศนะนั้น อย่างไร บุคคลย่อมละความ
สงสัยได้ที่ไหน.

เมื่อบุคคลมนสิการโดยความเป็นทุกข์ ย่อมรู้ย่อมเห็นธรรมเหล่าไหน
ตามความเป็นจริง ความเห็นชอบย่อมมีได้อย่างไร สังขารทั้งปวงเป็นสภาพ
อันบุคคลเห็นดีแล้วโดยความเป็นทุกข์...
เมื่อบุคคลมนสิการโดยความเป็นอนัตตา ย่อมรู้ย่อมเห็นธรรมเหล่าไหน
ตามความเป็นจริง ความเห็นชอบย่อมมีได้อย่างไร ธรรมทั้งปวงเป็นธรรมอัน
บุคคลเห็นดีแล้ว โดยความเป็นอนัตตา ด้วยความเป็นไปตามสัมมาทัศนะนั้น
อย่างไร บุคคลย่อมละความสงสัยได้ในที่ไหน.
เมื่อบุคคลมนสิการโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง ย่อมรู้ ย่อมเห็นนิมิต
ตามความเป็นจริง เพราะเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า สัมมาทัศนะ สังขารทั้งปวง
เป็นสภาพอันบุคคลเห็นดีเเล้วโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง ด้วยความเป็นไปตาม
สัมมาทัศนะนั้นอย่างนี้ บุคคลย่อมละความสงสัยได้ในสัมมาทัศนะนี้.
เมื่อบุคคลมนสิการโดยความเป็นทุกข์ ย่อมรู้ย่อมเห็นความเป็นไป
ตามความเป็นจริง เพราะเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่าสัมมาทัศนะ สังขารทั้งปวงเป็น
สภาพอันบุคคลเห็นดีแล้วโดยความเป็นทุกข์ ด้วยความเป็นไปตามสัมมาทัศนะ
นั้นอย่างนี้ บุคคลย่อมละความสงสัยได้ในสัมมาทัศนะนี้.
เมื่อบุคคลมนสิการโดยความเป็นอนัตตา ย่อมรู้ย่อมเห็นนิมิตและ
ความเป็นไป ตามความเป็นจริง เพราะเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า สัมมาทัศนะ
ธรรมทั้งปวงเป็นธรรมอันบุคคลเห็นดีแล้ว โดยความเป็นอนัตตา ด้วยความ
เป็นไปตามสัมมาทัศนะนั้น อย่างนี้ บุคคลย่อมละความสงสัยได้ในสัมมาทัศนะนี้.
ธรรมเหล่านี้ คือ ยถาภูตญาณ สัมมาทัศนะ และกังขาวิตรณะ (ปัญญา
เครื่องข้ามความสงสัย) มีอรรถต่างกันและมีพยัญชนะต่างกัน หรือมีอรรถ
อย่างเดียวกันต่างกันแต่พยัญชนะเท่านั้น.

ธรรมเหล่านี้ คือ ยถาภูตญาณ สัมมาทัศนะ และกังขาวิตรณะ มี
อรรถอย่างเดียวกัน ต่างกันแต่พยัญชนะเท่านั้น.
[507] เมื่อมนสิการโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง โดยความเป็นทุกข์
โดยความเป็นอนัตตา อะไรย่อมปรากฏโดยความเป็นของน่ากลัว.
เมื่อมนสิการโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง นิมิตย่อมปรากฏโดยความ
เป็นของน่ากลัว เมื่อมนสิการโดยความเป็นทุกข์ ความเป็นไปย่อมปรากฏโดย
ความเป็นของน่ากลัว เมื่อมนสิการโดยความเป็นอนัตตา ทั้งนิมิตและความ
เป็นไป ย่อมปรากฏโดยความเป็นของน่ากลัว.
ธรรมเหล่านี้ คือ ปัญญาในความปรากฏโดยความเป็นของน่ากลัว
อาทีนวญาณ และนิพพิทา มีอรรถต่างกัน และมีพยัญชนะต่างกัน หรือมี
อรรถอย่างเดียวกัน ต่างกันแต่พยัญชนะเท่านั้น.
ธรรมเหล่านั้น คือ ปัญญาในความปรากฏโดยความเป็นของน่ากลัว
อาทีนวญาณ และนิพพิทา มีอรรถอย่างเดียวกันต่างกันแต่พยัญชนะเท่านั้น.
ธรรมเหล่านี้ คือ อนัตตานุปัสสนา และสุญญตานุปัสสนา มีอรรถต่าง
กันและมีพยัญชนะต่างกัน หรือมีอรรถอย่างเดียวกันต่างกันแต่พยัญชนะเท่านั้น.
ธรรมเหล่านี้ คือ อนัตตานุปัสสนา และสุญญตานุปัสสนา มีอรรถ
อย่างเดียวกันต่างกันแต่พยัญชนะเท่านั้น.
[508] เมื่อมนสิการโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง โดยความเป็นทุกข์
โดยความเป็นอนัตตา ญาณ คือ การพิจารณาอะไรย่อมเกิดขึ้น.
เมื่อมนสิการโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง ญาณ คือ การพิจารณานิมิต
ย่อมเกิดขึ้น เมื่อมนสิการโดยความเป็นทุกข์ ญาณ คือ การพิจารณาความ

เป็นไปย่อมเกิดขึ้น เมื่อมนสิการโดยความเป็นอนัตตา ญาณ คือ การพิจารณา
ทั้งนิมิตและความเป็นไปย่อมเกิดขึ้น.
ธรรมเหล่านี้ คือ มุญจิตุกัมยตาญาณ ปฏิสังขานุปัสสนาญาณ และ
สังขารุเปกขาญาณ มีอรรถต่างกันและมีพยัญชนะต่างกัน หรือมีอรรถอย่าง
เดียวกันต่างกันแต่พยัญชนะเท่านั้น.
ธรรมเหล่านี้ คือ มุญจิตุกัมยตาญาณ ปฏิสังขานุปัสสนาญาณ และ
สังขารุเปกขาญาณ มีอรรถอย่างเดียวกัน ต่างกันแต่พยัญชนะเท่านั้น.
เมื่อมนสิการโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง โดยความเป็นทุกข์ โดย
ความเป็นอนัตตา จิตย่อมออกไปจากอะไร ย่อมแล่นไปในที่ไหน.
เมื่อมนสิการโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง จิตย่อมออกไปจากนิมิต
ย่อมแล่นไปในนิพพานอันไม่มีนิมิต เมื่อมนสิการโดยความเป็นทุกข์ จิตย่อม
ออกไปจากความเป็นไป ย่อมแล่นไปในนิพพานอันไม่มีความเป็นไป เมื่อ
มนสิการโดยความเป็นอนัตตา จิตย่อมออกไปจากนิมิตและความเป็นไป ย่อม
แล่นไปในนิพพานธาตุอันเป็นที่ดับ ซึ่งไม่มีนิมิต ไม่มีความเป็นไป.
ธรรมเหล่านี้ คือ ปัญญาในความออกไปและความหลีกไปภายนอก
และโครตภูธรรม มีอรรถต่างกัน และมีพยัญชนะต่างกัน หรือมีอรรถอย่างเดียว
กันต่างกันเเต่พยัญชนะเท่านั้น.
ธรรมเหล่านี้ คือ ปัญญาในความออกไปและความหลีกไปภายนอก
และโคตรภูธรรม มีอรรถอย่างเดียวกัน ต่างกันแต่พยัญชนะเท่านั้น.
เมื่อบุคคลมนสิการโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง โดยความเป็นทุกข์
โดยความเป็นอนัตตา ย่อมหลุดพ้นไปด้วยวิโมกข์อะไร.

เมื่อบุคคลมนสิการโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง ย่อมหลุดพ้นไปด้วย
อนิมิตตวิโมกข์ เมื่อมนสิการโดยความเป็นทุกข์ ย่อมหลุดพ้นไปด้วยอัปปณิหิต-
วิโมกข์ เมื่อมนสิการโดยความเป็นอนัตตา ย่อมหลุดพ้นไปด้วยสุญญตวิโมกข์.
ธรรมเหล่านี้ คือ ปัญญาในความออกไปและความหลีกไปจากส่วน
ทั้งสองและมรรคญาณ มีอรรถต่างกัน และมีพยัญชนะต่างกัน หรือมีอรรถอย่าง
เดียวกัน ต่างกันแต่พยัญชนะเท่านั้น.
ธรรมเหล่านี้ คือ ปัญญาในความออกไปและความหลีกไปจากส่วน
ทั้งสอง และมรรคญาณมีอรรถอย่างเดียวกัน ต่างกันแต่พยัญชนะเท่านั้น.
[509] วิโมกข์ 3 ย่อมมีในขณะต่างกันด้วยอาการเท่าไร ย่อมมีใน
ขณะเดียวกันด้วยอาการเท่าไร.
วิโมกข์ 3 ย่อมมีในขณะต่างกันด้วยอาการ 4 ย่อมมีในขณะเดียวกัน
ด้วยอาการ 7.
วิโมกข์ 3 ย่อมมีในขณะต่างกันด้วยอาการ 4 เป็นไฉน.
วิโมกข์ 3 ย่อมมีในขณะต่างกันด้วยอาการ 4 คือ ด้วยความเป็นใหญ่ 1
ด้วยความตั้งมั่น 1 ด้วยความน้อมจิตไป 1 ด้วยความนำออกไป 1.
วิโมกข์ 3 ย่อมมีในขณะต่างกันด้วยความเป็นใหญ่อย่างไร.
เมื่อมนสิการโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง อนิมิตตวิโมกข์ ย่อมเป็นใหญ่
เมื่อมนสิการโดยความเป็นทุกข์ อัปปณิหิตวิโมกข์ ย่อมเป็นใหญ่ เมื่อมนสิการ
โดยความเป็นอนัตตา สุญญตวิโมกข์ ย่อมเป็นใหญ่ วิโมกข์ 3 ย่อมมีใน
ขณะต่างกันด้วยความเป็นใหญ่อย่างนี้.
วิโมกข์ 3 ย่อมมีในขณะต่างกันด้วยความตั้งมั่นอย่างไร.

บุคคลเมื่อมนสิการโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง ย่อมตั้งจิตไว้มั่นด้วย
สามารถแห่งอนิมิตตวิโมกข์ เมื่อมนสิการโดยความเป็นทุกข์ ย่อมตั้งจิตไว้มั่น
ด้วยสามารถแห่งอัปปณิหิตวิโมกข์ เมื่อมนสิการโดยความเป็นอนัตตา ย่อม
ตั้งจิตไว้มั่นด้วยสามารถแห่งสุญญตวิโมกข์ วิโมกข์ 3 ย่อมมีในขณะต่างกัน
ด้วยความตั้งมั่นอย่างนี้.
วิโมกข์ 3 ย่อมมีในขณะต่างกันด้วยความน้อมจิตไปอย่างไร.
บุคคลเมื่อมนสิการโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง ย่อมน้อมจิตไปด้วย
สามารถแห่งอนิมิตตวิโมกข์ เมื่อมนสิการโดยความเป็นทุกข์ ย่อมน้อมจิตไป
ด้วยสามารถแห่งอัปปณิหิตวิโมกข์ เมื่อมนสิการโดยความเป็นอนัตตา ย่อม
น้อมจิตไปด้วยสามารถแห่งสุญญตวิโมกข์ วิโมกข์ 3 ย่อมมีในขณะต่างกันด้วย
ความน้อมจิตไปอย่างนี้.
วิโมกข์ 3 ย่อมมีในขณะต่างกันด้วยความนำออกไปอย่างไร.
บุคคลเมื่อมนสิการโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง ย่อมนำจิตออกไปสู่
นิพพานอันเป็นที่ดับ ด้วยสามารถแห่งอนิมิตตวิโมกข์ เมื่อมนสิการโดยความ
เป็นทุกข์ ย่อมนำจิตออกไปสู่นิพพานอันเป็นที่ดับ ด้วยสามารถแห่งอัปปณิ-
หิตวิโมกข์ เมื่อมนสิการโดยความเป็นอนัตตา ย่อมนำจิตออกไปสู่นิพพานอัน
เป็นที่ดับด้วยสามารถแห่งสุญญตวิโมกข์ วิโมกข์ 3 ย่อมมีในขณะต่างกันด้วย
ความนำออกไปอย่างนี้ วิโมกข์ 3 ย่อมมีในขณะต่างกันด้วยอาการ 4 นี้.
[510] วิโมกข์ 3 ย่อมมีในขณะเดียวกันด้วยอาการ 7 เป็นไฉน.
วิโมกข์ 3 ย่อมมีในขณะเดียวกันด้วยอาการ 7 คือ ด้วยความประชุม
ลง 1 ด้วยความบรรลุ 1 ด้วยความได้ 1 ด้วยความแทงตลอด 1 ด้วยความ
ทำให้แจ้ง 1 ด้วยความถูกต้อง 1 ด้วยความตรัสรู้ 1.

วิโมกข์ 3 ย่อมมีในขณะเดียวกัน ด้วยความประชุมลง ด้วยความ
บรรลุ ด้วยความได้ ด้วยความแทงตลอด ด้วยความทำให้แจ้ง ด้วยความ
ถูกต้อง ด้วยความตรัสรู้ อย่างไร.
บุคคลมนสิการโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง ย่อมพ้นจากนิมิต เพราะ
เหตุนั้น วิโมกข์นั้นจึงเป็นอนิมิตตวิโมกข์ บุคคลย่อมพ้นจากอารมณ์ใด ย่อม
ไม่ตั้งอยู่ในอารมณ์นั้น เพราะเหตุนั้น วิโมกข์นั้นจึงเป็นอัปปณิหิตวิโมกข์
บุคคลไม่ตั้งอยู่ในอารมณ์ใด เป็นผู้ว่างเปล่าจากอารมณ์นั้น เพราะเหตุนั้น
วิโมกข์นั้นจึงเป็นสุญญตวิโมกข์ บุคคลไม่มีนิมิตเพราะนิมิตว่างเปล่าด้วยวิโมกข์
ใด เพราะเหตุนั้น วิโมกข์นั้นจึงเป็นอนิมิตตวิโมกข์ วิโมกข์ 3 ย่อมมีใน
ขณะเดียวกัน ด้วยความประชุมลง...ด้วยความตรัสรู้อย่างนี้ บุคคลมนสิการ
โดยความเป็นทุกข์ ย่อมพ้นจากความปรารถนาอันเป็นที่ตั้ง เพราะเหตุนั้น
วิโมกข์นั้นจึงเป็นอัปปณิหิตวิโมกข์ บุคคลไม่ตั้งอยู่ในอารมณ์ใด เป็นผู้ว่างเปล่า
จากอารมณ์นั้น เพราะเหตุนั้น วิโมกข์นั้นจึงเป็นสุญญตวิโมกข์ บุคคลไม่มี
นิมิตเพราะนิมิตว่างเปล่าด้วยวิโมกข์ใด เพราะเหตุนั้น วิโมกข์นั้นจึงเป็น
อนิมิตตวิโมกข์ บุคคลไม่มีนิมิตเพราะนิมิตใดไม่ตั้งอยู่ในนิมิตนั้น เพราะ
เหตุนั้น วิโมกข์นั้นจึงเป็นอัปปณิหิตวิโมกข์ วิโมกข์ 3 ย่อมมีในขณะเดียวกัน
ด้วยความประชุมลง...ด้วยความตรัสรู้อย่างนี้ บุคคลมนสิการโดยความเป็น
อนัตตา ย่อมพ้นจากความยึดมั่น เพราะเหตุนั้น วิโมกข์นั้นจึงเป็นสุญญต-
วิโมกข์ บุคคลไม่มีนิมิตเพราะนิมิตว่างเปล่าด้วยวิโมกข์ใด เพราะเหตุนั้น
วิโมกข์นั้นจึงเป็นอนิมิตตวิโมกข์ บุคคลไม่มีนิมิต เพราะนิมิตใด ไม่ตั้งอยู่
ในนิมิตนั้น เพราะเหตุนั้น วิโมกข์นั้นจึงเป็นอัปปณิหิตวิโมกข์ บุคคลไม่ตั้ง
อยู่ในอารมณ์ใด เป็นผู้ว่างเปล่าจากอารมณ์นั้น เพราะเหตุนั้น วิโมกข์นั้นจึง

เป็นสุญญตวิโมกข์ วิโมกข์ 3 ย่อมมีในขณะเดียวกัน ด้วยความประชุมลง...
ด้วยความตรัสรู้อย่างนี้ วิโมกข์ 3 ย่อมมีในขณะเดียวกันด้วยอาการ 7 นี้.
[511] วิโมกข์มีอยู่ ธรรมอันเป็นประธานมีอยู่ ธรรมอันเป็น
ประธานแห่งวิโมกข์มีอยู่ ธรรมอันเป็นข้าศึกแก่วิโมกข์มีอยู่ ธรรมอันอนุโลม
ต่อวิโมกข์มีอยู่ วิโมกข์วิวัฏมีอยู่ การเจริญวิโมกข์มีอยู่ ความสงบระงับแห่ง
วิโมกข์มีอยู่.
วิโมกข์เป็นไฉน คือ สุญญตวิโมกข์ อนิมิตตวิโมกข์ อัปปณิหิต-
วิโมกข์.
สุญญตวิโมกข์เป็นไฉน อนิจจานุปัสสนาญาณ ย่อมพ้นจากความยึดมั่น
โดยความเป็นสภาพเที่ยง เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่า สุญญตวิโมกข์ ทุกขานุปัสส-
นาญาณ ย่อมพ้นจากความยึดมั่น โดยความเป็นสุข... อนัตตานุปัสสนาญาณ
ย่อมพ้นจากความยึดมั่นโดยความเป็นตัวตน... นิพพิทานุปัสสนาญาณ ย่อมพ้น
จากความยึดมั่นโดยความเพลิดเพลิน... วิราคานุปัสสนาญาณ ย่อมพ้นจากความ
ยึดมั่นโดยความกำหนัด... นิโรธานุปัสสนาญาณ ย่อมพ้นจากความยึดมั่นโดย
เป็นเหตุเกิด... ปฏินิสสัคคานุปัสสนาญาณ ย่อมพ้นจากความยึดมั่นโดยความ
ถือมั่น... อนิมิตตานุปัสสนาญาณ ย่อมพ้นจากความยึดมั่นโดยความเป็นนิมิต...
อัปปณิหิตานุปัสสนาญาณ ย่อมพ้นจากความยึดมั่นโดยความเป็นที่ตั้ง...
สุญญตานุปัสสนาญาณ ย่อมพ้นจากความยึดมั่นทุกอย่าง... ญาณ คือ การ
พิจารณาเห็นความไม่เที่ยงในรูป ย่อมพ้นจากความยึดมั่นโดยความเป็นสภาพ
เที่ยง เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่าสุญญตวิโมกข์ ฯลฯ ญาณ คือ การพิจารณา
เห็นความว่างเปล่าในรูป ย่อมพ้นจากความยึดมั่นทุกอย่าง เพราะเหตุนั้น
จึงชื่อว่าสุญญตวิโมกข์ ญาณ คือ การพิจารณาเห็นความไม่เที่ยงในเวทนา

ในสัญญา ในสังขาร ในวิญญาณ ในจักษุ ฯลฯ ในชราและมรณะ ย่อมพ้น
จากความยึดมั่นโดยความเป็นสภาพเที่ยง เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่าสุญญตวิโมกข์
ฯลฯ ญาณ คือ การพิจารณาเห็นความว่างเปล่าในชราและมรณะ. ย่อมพ้น
จากความยึดมั่นทุกอย่าง เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่าสุญญตวิโมกข์ นี้เป็นสุญญต-
วิโมกข์.
[512] อนิมิตตวิโมกข์เป็นไฉน อนิจจานุปัสสนาญาณ ย่อมพ้นจาก
เครื่องหมายโดยความเป็นสภาพเที่ยง เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่าอนิมิตตวิโมกข์
ทุกขานุปัสสนาญาณ ย่อมพ้นจากเครื่องหมายโดยความเป็นสุข... อนัตตานุ-
ปัสสนาญาณ ย่อมพ้นจากเครื่องหมายโดยความเป็นตัวตน... นิพพิทานุปัสสนา-
ญาณ ย่อมพ้นจากเครื่องหมายโดยความเพลิดเพลิน... วิราคานุปัสสนาญาณ
ย่อมพ้นจากเครื่องหมายโดยความกำหนัด... นิโรธานุปัสสนาญาณ ย่อมพ้นจาก
เครื่องหมายโดยความเป็นเหตุเกิด... ปฏินิสสัคคานุปัสสนาญาณ ย่อมพ้นจาก
เครื่องหมายโดยความถือมั่น... อนิมิตตานุปัสสนาญาณ ย่อมพ้นจากเครื่องหมาย
ทุกอย่าง... อัปปณิหิตานุปัสสนาญาณ ย่อมพ้นจากเครื่องหมายโดยความเป็น
ที่ตั้ง... สุญญตานุปัสสนาญาณ ย่อมพ้นจากเครื่องหมายโดยความยึดมั่น...
ญาณ คือ การพิจารณาเห็นความไม่เที่ยงในรูป ย่อมพ้นจากเครื่องหมายโดย
ความเป็นสภาพเที่ยง เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่าอนิมิตตวิโมกข์ ฯลฯ ญาณ คือ
การพิจารณาเห็นความมีนิมิตในรูป ย่อมพ้นจากนิมิตทุกอย่าง... ญาณ คือ
การพิจารณาเห็นความไม่มีที่ตั้งในรูป ย่อมพ้นจากเครื่องหมายโดยความเป็น
ที่ตั้ง...ญาณ คือ ก็พิจารณาเห็นความว่าเปล่าในรูป ย่อมพ้นจากเครื่อง
หมายโดยความยึดมั่น... ญาณ คือ การพิจารณาเห็นความไม่เที่ยงในเวทนา

ในสัญญา ในสังขาร ในวิญญาณ ในจักษุ ฯลฯ ในชราและมรณะ ย่อม
พ้นจากเครื่องหมายโดยความเป็นสภาพเที่ยง เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่าอนิมิตต-
วิโมกข์ ฯลฯ ญาณ คือ การพิจารณาเห็นความไม่มีนิมิตในชราและมรณะ
ย่อมพ้นจากนิมิตทุกอย่าง เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่าอนิมิตตวิโมกข์ ญาณ คือ
การพิจารณาเห็นความไม่มีที่ตั้งในชราและมรณะ ย่อมพ้นจากเครื่องหมายโดย
ความเป็นที่ตั้ง เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่าอนิมิตตวิโมกข์ ญาณ คือ การพิจารณา
เห็นความว่างเปล่าในชราและมรณะ ย่อมพ้นจากเครื่องหมายโดยความยึดมั่น
เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่าอนิมิตตวิโมกข์ นี้เป็นอนิมิตตวิโมกข์.
[513] อัปปณิหิตวิโมกข์เป็นไฉน อนิจจานุปัสสนาญาณ ย่อมพ้น
จากที่ตั้งโดยความเป็นสภาพเที่ยง เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่าอัปปณิหิตวิโมกข์
ทุกขานุปัสสนาญาณ ย่อมพ้นจากที่ตั้งโดยความเป็นสุข... อนัตตานุปัสสนาญาณ
ย่อมพ้นจากที่ตั้งโดยความเป็นตัวตน... นิพพิทานุปัสสนาญาณ ย่อมพ้นจาก
ที่ตั้งโดยความเพลิดเพลิน... วิราคานุปัสสนาญาณ ย่อมพ้นจากที่ตั้งโดยความ
กำหนัด... นิโรธานุปัสสนาญาณ ย่อมพ้นจากที่ตั้งโดยความเป็นเหตุเกิด...
ปฏินิสสัคคานุปัสสนาญาณ ย่อมพ้นจากที่ตั้งไว้โดยความถือมั่น... อนิมิตตานุ-
ปัสสนาญาณ ย่อมพ้นจากที่ตั้งโดยความเป็นเครื่องหมาย... อัปปณิหิตานุปัสสนา-.
ญาณ ย่อมพ้นจากที่ตั้งทุกอย่าง...สุญญตานุปัสสนาญาณ ย่อมพ้นจากที่ตั้ง
โดยความยึดมั่น... ญาณ คือ การพิจารณาเห็นความไม่เที่ยงในรูป ย่อมพ้น
จากที่ตั้งโดยความเป็นสภาพเที่ยง เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่าอัปปณิหิตวิโมกข์
ฯลฯ ญาณ คือ การพิจารณาเห็นความไม่มีที่ตั้งในรูป ย่อมพ้นจากที่ตั้ง
ทุกอย่าง เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่าอัปปณิหิตวิโมกข์ ญาณ คือ การพิจารณา
เห็นความว่างเปล่าในรูป ย่อมพ้นจากที่ตั้งโดยความยึดมั่น เพราะเหตุนั้น

จึงชื่อว่าอัปปณิหิตวิโมกข์ ญาณ คือ การพิจารณาเห็นความไม่เที่ยงในเวทนา
ในสัญญา ในสังขาร ในวิญญาณ ในจักษุ ฯลฯ ในชราและมรณะ ย่อมพ้น
จากที่ตั้งโดยความเป็นสภาพเที่ยง เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่าอัปปณิหิตวิโมกข์ ฯลฯ
ญาณ คือ การพิจารณาเห็นความไม่มีที่ตั้งในชราและมรณะ ย่อมพ้นจากที่ตั้ง
ทุกอย่าง เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่าอัปปณิหิตวิโมกข์ ญาณ คือ การพิจารณา
เห็นความว่างเปล่าในชราและมรณะ ย่อมพ้นจากที่ตั้งโดยความยึดมั่น เพราะ
เหตุนั้น จึงชื่อว่าอัปปณิหิตวิโมกข์ นี้เป็นอัปปณิหิตวิโมกข์.
[514] ธรรมอันเป็นประธานเป็นไฉน ธรรมอันเป็นไปในฝักฝ่าย
ความตรัสรู้ เป็นกุศล ไม่มีโทษ เกิดในมรรควิโมกข์นั้น นี้ธรรมอันเป็น
ประธาน.
ธรรมอันเป็นประธานแห่งวิโมกข์เป็นไฉน นิพพานอันเป็นที่ดับ เป็น
อารมณ์ของธรรมเหล่านั้น นี้เป็นธรรมอันเป็นประธานแห่งวิโมกข์.
ธรรมอันเป็นข้าศึกแก่วิโมกข์เป็นไฉน อกุศลมูล 3 ทุจริต 3
อกุศลธรรมแม้ทุกอย่าง เป็นข้าศึกแก่วิโมกข์ นี้ธรรมอันเป็นข้าศึกแก่วิโมกข์.
ธรรมอันอนุโลมต่อวิโมกข์เป็นไฉน กุศลมูล 3 สุจริต 3 กุศลธรรม
แม้ทุกอย่าง เป็นธรรมอันอนุโลมต่อวิโมกข์ นี้ธรรมอันอนุโลมต่อวิโมกข์.
[515] วิโมกขวิวัฏเป็นไฉน สัญญาวิวัฏ เจโตวิวัฏ จิตตวิวัฏ
ญาณวิวัฏ วิโมกขวิวัฏ สัจจวิวัฏ บุคคลหมายรู้หลีกออกไป เพราะเหตุนั้น
จึงเป็นสัญญาวิวัฏ บุคคลคิดอยู่หลีกออกไป เพราะเหตุนั้น จึงเป็นเจโตวิวัฏ
บุคคลรู้แจ้งหลีกออกไป เพราะเหตุนั้น จึงเป็นจิตตวิวัฏ บุคคลทำความรู้
หลีกออกไป เพราะเหตุนั้น จึงเป็นญาณวิวัฏ บุคคลปล่อยวางหลีกออกไป
เพราะเหตุนั้น จึงเป็นวิโมกขวิวัฏ บุคคลหลีกออกไปในธรรมอันมีความถ่องแท้
เพราะเหตุนั้น จึงเป็นสัจจวิวัฏ สัญญาวิวัฏมีในที่ใด เจโตวิวัฏก็มีในที่นั้น

เจโตวิวัฏมีในที่ใด สัญญาวิวัฏก็มีในที่นั้น สัญญาวิวัฏ เจโตวิวัฏมีในที่ใด
จิตตวิวัฏก็มีในที่นั้น จิตตวิวัฏมีในที่ใด สัญญาวิวัฏ เจโตวิวัฏก็มีในที่นั้น
สัญญาวิวัฏ เจโตวิวัฏ จิตตวิวัฎมีในที่ใด ญาณวิวัฏก็มีในที่นั้น ญาณวิวัฏมี
ในที่ใด สัญญาวิวัฏ เจโตวิวัฏ จิตตวิวัฏก็มีในที่นั้น สัญญาวิวัฏ เจโตวิวัฏ
จิตตวิวัฏ ญาณวิวัฏมีในที่ใด วิโมกขวิวัฏก็มีในที่นั้น วิโมกขวิวัฏมีในที่ใด
สัญญาวิวัฏ เจโตวิวัฏ จิตตวิวัฏ ญาณวิวัฏก็มีในที่นั้น สัญญาวิวัฏ เจโตวิวัฏ
จิตตวิวัฏ ญาณวิวัฏ วิโมกขวิวัฏมีในที่ใด สัจจวิวัฏมีในที่นั้น สัจจวิวัฏมี
ในที่ใด สัญญาวิวัฏ เจโตวิวัฏ จิตตวิวัฏ ญาณวิวัฏ วิโมกขวิวัฏก็มีในที่นั้น
นี้เป็นวิโมกขวิวัฏ.
[516] การเจริญวิโมกข์เป็นไฉน การเสพ การเจริญ การทำให้มาก
ซึ่งปฐมฌาน... ทุติยฌาน... ตติยฌาน... จตุตถฌาน... อากาสานัญจายตน-
สมาบัติ... วิญญานัญจายตนสมาบัติ... อากิญจัญญายตนสมาบัติ... เนว-
สัญญานาสัญญายตนสมาบัติ... โสดาปัตติมรรค... สกทาคามิมรรค...
อนาคามิมรรค... การเสพ การเจริญ การทำให้มากซึ่งอรหัตมรรค นี้เป็นการ
เจริญวิโมกข์.
ความสงบระงับแห่งวิโมกข์เป็นไฉน การได้หรือวิบากแห่งปฐมฌาน...
ทุติยฌาน... ตติยฌาน... จตุตถฌาน... อากาสานัญจายตนสมาบัติ วิญญา-
ณัญจายตนสมาบัติ อากิญจัญญายตนสมาบัติ เนวสัญญนาสัญญายตนสมาบัติ
โสดาปัตติผลแห่งโสดาปัตติมรรค สกทาคามิผลแห่งสกทาคามิมรรค อนาคามิผล
แห่งอนาคามิมรรค อรหัตผลแห่งอรหัตมรรค นี้เป็นความสงบระงับแห่ง
วิโมกข์.
จบตติยภาณวาร
จบวิโมกขกถา

วิโมกขกถา


อรรถกถาวิโมกขุเทศ


บัดนี้ ถึงคราวที่จะพรรณนาไปตามลำดับ ความที่ยังไม่เคยพรรณนา
แห่งวิโมกขกถา ซึ่งท่านกล่าวในลำดับอินทริยกถา. จริงอยู่ วิโมกขกถานี้
ท่านกล่าวในลำดับอินทริยกถา เพราะผู้ประกอบอินทริยภาวนาเป็นผู้ได้วิโมกข์-
ก็พระสารีบุตรเถระเมื่อกล่าววิโมกขกถานั้น ทำสุตตันตเทศนาให้เป็นหัวหน้า
แล้วกล่าวเฉพาะพระพักตร์พระผู้มีพระภาคเจ้า.
พึงทราบวินิจฉัยในพระสูตรนั้น ดังต่อไปนี้. ในบทมีอาทิว่า สุญฺญโต
วิโมกฺโข
ได้แก่ อริยมรรคอันเป็นไป เพราะทำนิพพานให้เป็นอารมณ์
โดยอาการแห่งความเป็นของสูญ ชื่อว่า สุญญตวิโมกข์. สุญญตวิโมกข์นั้น
ชื่อว่า สุญญตะ เพราะเกิดธาตุสูญ. ชื่อว่า วิโมกข์ เพราะพ้นจากกิเลส
ทั้งหลาย.
โดยนัยนี้นั่นแหละพึงทราบว่า วิโมกข์เป็นไปเพราะทำนิพพานให้เป็น
อารมณ์ โดยอาการหานิมิตมิได้ ชื่อว่า อนิมิตตวิโมกข์. วิโมกข์เป็นไป
เพราะทำนิพพานให้เป็นอารมณ์ โดยอาการไม่มีที่ตั้ง ชื่อว่า อัปปณิหิตวิโมกข์.
ภิกษุรูปหนึ่งพิจารณาสังขารทั้งหลาย โดยความไม่เที่ยงแต่ต้นนั่นเอง
อนึ่ง เพราะเพียงพิจารณาด้วยความไม่เที่ยงเท่านั้น ยังไม่เป็นการออกไปแห่ง
มรรค ควรพิจารณาโดยความเป็นทุกข์บ้าง โดยความเป็นอนัตตาบ้าง. หาก
เมื่อภิกษุนั้นปฏิบัติแล้วอย่างนี้ ย่อมเป็นการออกไปแห่งมรรค ในกาลที่
พิจารณาโดยความไม่เที่ยง ภิกษุนี้ชื่อว่าอยู่โดยความไม่เที่ยง แล้วออกไปโดย